หากจะพูดถึงความสำคัญในการขับขี่ นอกเหนือจากการไม่ประมาทและระมัดระวังตัวอยู่เสมอแล้ว การเตรียมพร้อมต่อความเสี่ยงบนท้องถนนก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะทำประกันรถยนต์เอาไว้นั่นเอง
เพราะอุบัติเหตุไม่เลือกคนและเวลาที่จะเกิด ดังนั้นการทำประกันภัยให้กับรถยนต์จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุตอนไหนก็จะได้รับการช่วยเหลือจากบริษัทประกันที่คุณทำไว้อย่างแน่นอน ซึ่งก็จะเป็นไปตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด และนอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากความเสียหายทั้งการเกิดอุบัติเหตุ รถสูญหาย รถไฟไหม้ หรือภัยธรรมชาติอื่น ๆ ได้อีกด้วย
ประกันรถยนต์มีหลากหลายแบบ หลากหลายแผนการคุ้มครอง ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณ วันนี้เราจะพามาทำความรู้ประกันชั้น 1 และประกันชั้น 2 ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร
บอกได้เลยว่าประกันรถยนต์ชั้น 1 ขึ้นชื่อเรื่องการคุ้มครองที่ครอบคลุมมากที่สุด แม้จะมีราคาเบี้ยประกันที่สูง แต่การคุ้มครองก็คุ้มค่า คุ้มราคา โดยประกันชั้น 1 จะให้การคุ้มครองต่าง ๆ ดังนี้
สำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการการคุ้มครองที่ไม่ต้องครอบคลุมมาก แต่ก็สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ ก็ต้องเป็นประกันชั้น 2 ที่ราคาถูกลงจากประกันชั้น 1
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่าประกันชั้น 1 และประกันชั้น 2 มีความแตกต่างกันในหลายด้าน สิ่งที่เห็นได้ชัดคงจะเป็นราคาเบี้ยประกัน เพราะการคุ้มครองที่สูงก็ตามมาด้วยค่าประกันที่สูงเช่นกัน และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าประกันชั้น 1 มีการคุ้มครองที่ครอบคลุมเป็นอย่างมาก ในขณะที่ประกันชั้น 2 มีการคุ้มครองที่ค่อนข้างจำกัดและเน้นไปที่การคุ้มครองคู่กรณีมากกว่า
เพราะคำว่าเหมาะสมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจเลือกซื้อประกันสำหรับรถยนต์นั้น ควรจะพิจารณาจากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น เช็กราคาเบี้ยประกัน หรือสังเกตจากพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนของตัวเอง เป็นต้น
check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย
การทำประกันไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตหรือประกันวินาศภัย กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่หลายคนเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นในยุคนี้ บางคนมีประกันหลายฉบับ บางคนทำไว้หลายบริษัท พอทำประกันไว้หลายฉบับ หลายบริษัท หลายปีติด ๆ กัน แล้วเล่มหายหรือจำไม่ได้ว่าทำไว้กับใคร ปัญหาเริ่มมาแบบไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่ทุกวันนี้สามารถเช็คกรมธรรม์จากเลขบัตรประชาชนได้แล้ว ไม่ต้องไปขุดหาเอกสารเก่า ไม่ต้องโทรถามใครให้ยุ่ง
เวลาเกิดอุบัติเหตุแล้วบริษัทประกันของอีกฝ่ายโทรมาเรียกเก็บค่าซ่อม ใครไม่เคยเจอก็อาจจะคิดว่า “ก็แค่จ่ายไปสิ” แต่พอถึงเวลาจริง บางเคสค่าซ่อมอาจพุ่งไปถึงหลักแสนแบบไม่ทันตั้งตัว แถมบางคนไม่มีเงินก้อนพร้อมจ่ายทันที ก็เลยกลายเป็นคำถามยอดฮิตว่า ถ้าไม่มีเงินจ่าย ประกันเรียกค่าซ่อมแบบนี้ ผ่อนได้ไหม? แล้วจะคุยกับประกันยังไงให้ไม่โดนฟ้อง ต้องเตรียมตัวยังไงบ้างให้รอดจากสถานการณ์สุดเครียดนี้ทุกมุม มาหาคำตอบแบบไม่ต้องมโนกันในบทความนี้ดีกว่า การเลือกประกันรถยนต์ที่เข้าใจคนขับจริง ๆ เลยเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะ ประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ให้เลือกความคุ้มครองเองได้ตามงบอย่าง insurverse ที่ช่วยให้ไม่ต้องจ่ายเบี้ยเกินจำเป็น แถมยังซื้อตรงไม่ผ่านตัวแทน ถูกจริงตั้งแต่แรก ไม่มีเงินจ่ายค่าซ่อมในทันที ทำไงดี ถ้าบริษัทประกันเรียกเก็บค่าซ่อมจากคู่กรณีที่เป็นฝ่ายผิด แล้วคนคนนั้นไม่มีเงินจ่ายเต็มจำนวน ไม่ต้องรีบจ่ายทันทีแบบหน้ามืดตามัว เพราะสามารถขอเจรจากับบริษัทประกันได้ตรง ๆ ว่าจะขอผ่อนจ่ายเป็นงวดได้ไหม ซึ่งประกันหลายเจ้าก็พร้อมรับฟัง ถ้ามีเหตุผลและความจริงใจที่จะจ่ายจริง วิธีนี้เรียกว่า การประนอมหนี้ คล้าย ๆ กับการตกลงกันว่า จะผ่อนเท่าไหร่ กี่งวด แล้วต้องมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร หรือบันทึกไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกัน และป้องกันปัญหาในอนาคต แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท ประกันของตัวเองช่วยอะไรได้บ้าง ในบางเคส คนที่เป็นฝ่ายผิดก็ยังมีประกันรถยนต์ของตัวเองอยู่ แบบนี้สบายใจได้ในระดับนึง เพราะประกันของเราจะเข้ามาช่วยดูแลค่าซ่อมในส่วนที่ครอบคลุมไว้ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ แต่ต้องไม่ใช่เคสที่เข้าข่ายถูกตัดสิทธิ เช่น เมาแล้วขับ หรือใช้รถผิดประเภท… Continue reading ประกันเรียกเก็บค่าซ่อม ผ่อนได้ไหม? รู้ทันทุกขั้นตอนก่อนโดนฟ้อง คุยจบ เคลียร์ได้ ไม่ต้องหนี
กรมธรรม์ คือ เอกสารสัญญาสำคัญระหว่างผู้เอาประกันกับบริษัทประกันภัย โดยจะระบุความคุ้มครองที่จะได้รับเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และเงื่อนไขอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง