เมื่อพูดถึงรถใหม่ป้ายแดงที่เพิ่งออกจากศูนย์ การดูแลรักษาสภาพให้เหมือนใหม่อยู่ตลอดเวลา น่าจะเป็นเรื่องที่คนใช้รถให้ความสำคัญกันทุกคน การขัดเคลือบสีรถ จึงเป็นวิธีดูแลรถที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ถึงแม้จะมีค่าใช้จ่ายที่สูง แต่ก็ช่วยให้รถมีความเงางามเหมือนใหม่อยู่ตลอดเวลา วันนี้ทาง insurverse เลยจะมาชวนเจาะลึกถึงเรื่องเคลือบสีรถกัน ว่ามีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน ทำไมรถใหม่ป้ายแดงที่มีประกันรถยนต์ชั้น 1 ก็ควรทำเป็นประจำ
หลายคนอาจจะคิดว่าการขัดเคลือบสีรถ คงมีข้อดีแค่เรื่องความเงางามที่สวยเหมือนใหม่เท่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นการสิ้นเปลืองเงินในการดูแลส่วนนี้หรือเปล่า ต้องบอกว่าไม่ใช่ความคิดที่ถูกนัก เพราะในความเป็นจริงแล้ว การเคลือบรถนั้นมีข้อดีมากมาย ซึ่งการดูแลรักษาที่ง่ายขึ้น ก็เป็นหนึ่งในข้อดีด้วยเช่นกัน แต่เรามาลองไล่ดูข้อดีส่วนอื่นไปพร้อม ๆ กันดีกว่า
แน่นอนว่าข้อดีแรก ก็คือความเงางามที่ดูสวยใสตลอดเวลา ซึ่งเป็นสิ่งที่คนออกรถใหม่ต้องการอยู่แล้ว เพราะไม่ว่ารถจะใหม่แค่ไหน โอกาสในการเกิดรอยขีดข่วนบนตัวถังก็ยังเกิดขึ้นได้ ผ่านการขับรถออกไปใช้งานบนท้องถนนทุกวัน การขัดเคลือบสีรถบ้างเป็นครั้งคราวตามกำลังทรัพย์ ก็เป็นทางเลือกที่ดีในการทำให้รถสวยตรงความต้องการ
อีกจุดหนึ่งที่หลายคนอาจคิดไม่ถึง ก็คือคราบสกปรกอย่างเศษฝุ่น และเขม่าควันจากท่อไอเสียที่สามารถฝังแน่นที่ตัวรถได้เช่นกัน โดยเฉพาะรถสีขาวที่จะเห็นได้ชัดกว่าสีอื่น ๆ การขัดเคลือบรถจะเป็นการสร้างชั้นแลคเกอร์ที่ช่วยปกป้องคราบสกปรก และช่วยให้การทำความสะอาดทำได้ง่ายขึ้นด้วย
คราบน้ำฝนที่มีฤทธิ์เป็นกรด ก็เป็นอีกหนึ่งตัวการในการทำร้ายผิวรถให้ด่างจนน่าเกลียด การเคลือบสีรถจนเป็นอีกหนึ่งการดูแล ที่ช่วยให้น้ำฝนไม่เกาะที่ผิวรถ แต่จะวิ่งออกเป็นเม็ด ๆ แทน ซึ่งข้อดีนี้ ยังช่วยให้การล้างทำความสะอาดรถทำได้ง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน
เพราะการเคลือบสีรถ เปรียบเสมือนการสร้างชั้นแลคเกอร์บาง ๆ ในการปกป้องผิวรถจากสิ่งสกปรก และแสงแดด จึงเป็นอีกข้อดีที่ช่วยให้ล้างทำความสะอาดได้สะดวกขึ้น และช่วยให้รถไม่สกปรก และดูเงางามกว่ารถคันที่ไม่เคลือบสีได้อย่างชัดเจน
แสงแดดก็เป็นอีกหนึ่งภัยร้ายที่ทำให้สีรถซีดจางลงได้ โดยเฉพาะรถที่ต้องจอดกลางแจ้งอยู่เป็นประจำ การเคลือบเงาสีรถ จะช่วยปกป้องพื้นผิวตัวถังจากแดดได้ด้วยเหมือนกัน เพียงแต่ต้องหมั่นเคลือบสีรถอยู่เป็นประจำทุก 2 – 3 เดือน ก็จะช่วยให้รถไม่หมองลงไวกว่าที่ควรจะเป็น
แม้ว่าประกันรถยนต์ชั้น 1 จะช่วยดูแลในส่วนของความเสียหายที่เกิดขึ้นกันตัวรถ แต่อย่าลืมว่ารอยหินดีด หรือวัตถุตกใส่ อาจจะต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก (Excess) เพิ่มเติมเอง การขัดเคลือบสีรถจึงอาจตอบโจทย์มากกว่าการนำไปเคลมประกันกับรอยขีดข่วนเล็ก ๆ นั่นเอง ส่วนประเภทของการเคลือบสีรถจะมีอะไรบ้าง เรามาดูกัน
เคลือบสีรถด้วยแว็กซ์ น่าจะเป็นสิ่งที่คนใช้รถคุ้นชินที่สุด ด้วยราคาเริ่มต้นที่ไม่แพงมาก และผลงานที่ออกมาก็อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ อีกทั้งยังสามารถซื้ออุปกรณ์มาลองทำเองได้ที่บ้าน จึงเป็นทางที่สบายกระเป๋าที่สุด แต่ความเงาอาจจะอยู่ได้ไม่เกิน 7 วันเท่านั้น
เคลือบสีรถแบบแก้ว เป็นการเคลือบที่มีคุณภาพมากที่สุด เพราะมีราคาค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างแพง แต่แลกกับผลลัพธ์ที่ทำให้รถเงางาม และลดปัญหาคราบสิ่งสกปรก รวมถึงรอยขีดข่วนได้อย่างอยู่หมัด จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เจ็บแต่จบ ใช้รถได้ยาว ๆ โดยไม่ต้องกลัวจะดูหมองไปเลย
เคลือบสีรถแบบน้ำ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเคลือบรถที่ดีกว่าแบบแว็กซ์ ซึ่งมีข้อดีตรงที่การทนอุณหภูมิได้มากถึง 140 องศา จึงช่วยปกป้องสีซีดจางจากแดดได้ดี และยังอยู่ติดทนนานราว 1 เดือน แต่อาจจะไม่เงาเท่าการเคลือบแบบอื่นเท่านั้นเอง
เคลือบสีรถแบบซิลิโคน จะมีประสิทธิภาพดีกว่าแบบแว็กซ์ และยังคงให้ความเงางามไม่ต่างกัน จึงทำให้ราคาในการทำที่สูงกว่า แต่จะไม่ทนรอยขีดข่วนเท่าที่ควร แต่ก็เป็นอีกทางเลือกที่ใครหลายคนชื่นชอบไม่น้อย
หากเป็นการขัดเคลือบสีรถ ที่เป็นการทำความสะอาด และลบรอยขนแมวต่าง ๆ ราคาจะเริ่มต้นที่ 800 – 50,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับประเภทการของการเคลือบตามที่เราได้อธิบายไป แต่หากเป็นการเคลือบสีรถเพียงอย่างเดียว ราคาก็จะอยู่ในหลักร้อยเพียงเท่านั้น
การขัดเคลือบสีรถ ควรทำทุก 6 เดือน – 1 ปี เพื่อเป็นการลบรอย และทำความสะอาดครั้งใหญ่ แต่หากเป็นการเคลือบสีรถทั่วไปที่ไม่ได้ขัด สามารถทำได้บ่อยตามที่ต้องการ เพื่อเป็นการสร้างชั้นแลคเกอร์ในการปกป้องผิวรถอยู่ตลอดเวลา
ทุกคนเห็นข้อดีของการเคลือบสีรถกันแล้วใช่ไหม ไม่ว่าจะรถป้ายแดง หรือเป็นรถที่ใช้งานมาสักพักแล้วก็ตาม แม้จะมีประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่สามารถเคลมการดูแลได้ แต่อย่าลืมว่ารอยขีดข่วนเล็ก ๆ ที่อาจเกิดขึ้น บางทีก็ไม่จำเป็นต้องเคลมประกันเสมอไป เพียงมีการขัดเคลือบสีรถเอาไว้อยู่ตลอด ก็สามารถจัดการรอยพวกนี้ได้ด้วยตัวเองเช่นกัน และทั้งหมดนี้ก็คือข้อมูลดี ๆ ที่เรานำมาฝาก หวังว่าคนรักรถทุกคนจะไม่ลืมดูแลรถยนต์คันโปรด และขับขี่ด้วยความระมัดระวังอยู่ตลอดกันนะ
check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย
การทำประกันไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตหรือประกันวินาศภัย กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่หลายคนเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นในยุคนี้ บางคนมีประกันหลายฉบับ บางคนทำไว้หลายบริษัท พอทำประกันไว้หลายฉบับ หลายบริษัท หลายปีติด ๆ กัน แล้วเล่มหายหรือจำไม่ได้ว่าทำไว้กับใคร ปัญหาเริ่มมาแบบไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่ทุกวันนี้สามารถเช็คกรมธรรม์จากเลขบัตรประชาชนได้แล้ว ไม่ต้องไปขุดหาเอกสารเก่า ไม่ต้องโทรถามใครให้ยุ่ง
เวลาเกิดอุบัติเหตุแล้วบริษัทประกันของอีกฝ่ายโทรมาเรียกเก็บค่าซ่อม ใครไม่เคยเจอก็อาจจะคิดว่า “ก็แค่จ่ายไปสิ” แต่พอถึงเวลาจริง บางเคสค่าซ่อมอาจพุ่งไปถึงหลักแสนแบบไม่ทันตั้งตัว แถมบางคนไม่มีเงินก้อนพร้อมจ่ายทันที ก็เลยกลายเป็นคำถามยอดฮิตว่า ถ้าไม่มีเงินจ่าย ประกันเรียกค่าซ่อมแบบนี้ ผ่อนได้ไหม? แล้วจะคุยกับประกันยังไงให้ไม่โดนฟ้อง ต้องเตรียมตัวยังไงบ้างให้รอดจากสถานการณ์สุดเครียดนี้ทุกมุม มาหาคำตอบแบบไม่ต้องมโนกันในบทความนี้ดีกว่า การเลือกประกันรถยนต์ที่เข้าใจคนขับจริง ๆ เลยเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะ ประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ให้เลือกความคุ้มครองเองได้ตามงบอย่าง insurverse ที่ช่วยให้ไม่ต้องจ่ายเบี้ยเกินจำเป็น แถมยังซื้อตรงไม่ผ่านตัวแทน ถูกจริงตั้งแต่แรก ไม่มีเงินจ่ายค่าซ่อมในทันที ทำไงดี ถ้าบริษัทประกันเรียกเก็บค่าซ่อมจากคู่กรณีที่เป็นฝ่ายผิด แล้วคนคนนั้นไม่มีเงินจ่ายเต็มจำนวน ไม่ต้องรีบจ่ายทันทีแบบหน้ามืดตามัว เพราะสามารถขอเจรจากับบริษัทประกันได้ตรง ๆ ว่าจะขอผ่อนจ่ายเป็นงวดได้ไหม ซึ่งประกันหลายเจ้าก็พร้อมรับฟัง ถ้ามีเหตุผลและความจริงใจที่จะจ่ายจริง วิธีนี้เรียกว่า การประนอมหนี้ คล้าย ๆ กับการตกลงกันว่า จะผ่อนเท่าไหร่ กี่งวด แล้วต้องมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร หรือบันทึกไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกัน และป้องกันปัญหาในอนาคต แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท ประกันของตัวเองช่วยอะไรได้บ้าง ในบางเคส คนที่เป็นฝ่ายผิดก็ยังมีประกันรถยนต์ของตัวเองอยู่ แบบนี้สบายใจได้ในระดับนึง เพราะประกันของเราจะเข้ามาช่วยดูแลค่าซ่อมในส่วนที่ครอบคลุมไว้ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ แต่ต้องไม่ใช่เคสที่เข้าข่ายถูกตัดสิทธิ เช่น เมาแล้วขับ หรือใช้รถผิดประเภท… Continue reading ประกันเรียกเก็บค่าซ่อม ผ่อนได้ไหม? รู้ทันทุกขั้นตอนก่อนโดนฟ้อง คุยจบ เคลียร์ได้ ไม่ต้องหนี
กรมธรรม์ คือ เอกสารสัญญาสำคัญระหว่างผู้เอาประกันกับบริษัทประกันภัย โดยจะระบุความคุ้มครองที่จะได้รับเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และเงื่อนไขอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง