vertical_align_top
keyboard_arrow_leftย้อนกลับ
ฟิล์มกรองแสงรถยนต์

เลือกฟิล์มกรองแสงรถยนต์แบบไหนดีให้คุ้มค่ากับการใช้งาน

schedule
share
ที่มารูปภาพ: https://www.vecteezy.com/photo/7674938

หนึ่งในไอเทมสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับเจ้าของรถยนต์ก็คือฟิล์มกรองแสงรถยนต์ที่จะช่วยป้องกันความร้อนจากแสงแดดและรังสี UV ที่เป็นอันตราย แต่หากเลือกใช้ฟิล์มกรองแสงที่ไม่มีคุณภาพหรือมีคุณสมบัติไม่ดีพอต่อการป้องกันแสงแดดก็เป็นอันตรายเช่นเดียวกัน ดังนั้นวันนี้ insurverse จึงจะมาแนะนำวิธีเลือกฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ให้เหมาะกับการใช้งานเพื่อให้เจ้าของรถทุกคนได้รู้กัน

ฟิล์มกรองแสงรถยนต์จำเป็นต้องติดหรือไม่

แม้ว่าจะไม่มีกฎหมายบังคับให้เจ้าของรถติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์ แต่เจ้าของรถส่วนมากก็มักจะเลือกติดฟิล์มเพราะมีข้อดีหลายข้อ ดังนี้

  • ช่วยลดแสงจ้า เพิ่มทัศนวิสัยในขณะขับรถ
  • ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว ทำให้คนภายนอกมองเห็นภายในรถได้ยากขึ้น
  • ช่วยลดความร้อนและป้องกันรังสี UV จากแสงแดด
  • ช่วยปกป้องวัสดุภายในห้องโดยสารไม่ให้ถูกแสงแดดเลียจนเสียหาย
  • ช่วยประหยัดพลังงาน ลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศ

ฟิล์มกรองแสงรถยนต์มีกี่แบบ

สำหรับฟิล์มกรองแสงรถยนต์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันมีด้วยกัน 5 แบบ ดังนี้

  1. ฟิล์มแบบธรรมดา

ฟิล์มติดรถยนต์ธรรมดามีคุณสมบัติป้องกันความร้อนและรังสี UV ได้เล็กน้อย อายุการใช้งานค่อนข้างสั้น ราคาจึงไม่สูง

  1. ฟิล์มแบบไฮบริด

ฟิล์มชนิดนี้มีราคาค่อนข้างสูงเนื่องจากเป็นฟิล์มที่ผสมระหว่างฟิล์มย้อมสีและฟิล์มสีเมทัลไลซ์ โดดเด่นด้วยคุณสมบัติกรองแสงได้ดี ป้องกันการเกิดรอยขีดข่วนได้

  1. ฟิล์มแบบปรอท

เป็นฟิล์มที่เคลือบด้วยสีผสมโลหะ มีลักษณะมันวาว จึงสามารถป้องกันรอยขีดข่วนและสะท้อนความร้อนได้ดี

  1. ฟิล์มแบบคาร์บอน

ฟิล์มติดรถยนต์ที่มีส่วนผสมของอนุภาคคาร์บอนจึงสามารถสะท้อนแสงและความร้อนได้ดี ลดการสะสมของความร้อนได้มาก อายุการใช้งานนาน

  1. ฟิล์มแบบเซรามิค

ฟิล์มชนิดนี้โดดเด่นด้วยคุณสมบัติป้องกันแสงแดดได้ดีและลดความร้อนสะสมได้ถึง 99% อายุการใช้งานค่อนข้างนาน ราคาจึงสูงกว่าฟิล์มชนิดอื่น ๆ

เลือกฟิล์มกรองแสงรถยนต์อย่างไรให้เหมาะกับการใช้งาน

การเลือกติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์ นอกจากจะต้องพิจารณาเรื่องยี่ห้อและราคาแแล้ว ยังต้องพิจารณาคุณสมบัติด้านอื่น ๆ ร่วมด้วย ดังนี้

  • ความเข้มของฟิล์ม

แม้ว่าฟิล์มที่มีความเข้มมากจะช่วยป้องกันแสงแดดได้ดี แต่อาจทำให้การมองเห็นของผู้ขับขี่ลดลงได้ ดังนั้นการเลือกความเข้มของฟิล์มจึงควรเลือกให้เหมาะกับการมองเห็นอย่างชัดเจนของผู้ขับขี่เองด้วย ความเข้มของฟิล์มที่แนะนำไม่ควรเกิน 60% ซึ่งมากพอที่จะป้องกันแสงแดดและยังสามารถมองเห็นได้ชัดเจน

  • การกรองแสง

แนะนำให้เลือกฟิล์มที่สามารถกรองแสงและป้องกันรังสี UV ได้ไม่ต่ำกว่า 90 – 99% รวมถึงเลือกฟิล์มที่มีค่าสัมประสิทธิ์การบังแดดต่ำกว่า 0.8 ลงไป เพื่อเสริมประสิทธิภาพการป้องกันแสงแดดให้ดียิ่งขึ้น

  • ความน่าเชื่อถือของร้าน

เนื่องจากฟิล์มกรองแสงเป็นสินค้าที่มีราคาค่อนข้างสูงจึงทำให้มักมีสินค้าปลอมที่ไม่มีคุณภาพออกมาปะปนอยู่ในท้องตลาด ดังนั้นจึงควรเลือกซื้อกับร้านหรือตัวแทนจำหน่ายที่มีความน่าเชื่อถือ มีช่างผู้ชำนาญการในการติดตั้ง และมีการรับประกันหลังการขาย

  • ฟังก์ชันพิเศษ

ฟิล์มกรองแสงบางรุ่นมีฟังก์ชันพิเศษเสริมเข้ามาด้วย เช่น ฟิล์มกระจกรถยนต์นิรภัยที่มีคุณสมบัติป้องกันไม่ให้กระจกแตกกระจายเมื่อเจอแรงกระแทก เป็นต้น

ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ราคาเท่าไหร่

ราคาของฟิล์มกรองแสงรถยนต์มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน ขึ้นอยู่ประเภทของฟิล์มและขนาดของรถยนต์ แต่โดยเฉลี่ยแล้วค่าใช้จ่ายในการติดฟิล์มกรองแสงแบบเซรามิครอบรถเก๋งขนาดกลางทั้งคันจะอยู่ที่ราว ๆ 10,000 บาท หากเป็นรถขนาดใหญ่ เช่น รถ SUV หรือรถ VAN ก็จะอยู่ที่ราว ๆ 15,000 – 20,000 บาท


ทั้งหมดนี้คือรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์ที่เรารวบรวมมาฝากกันในวันนี้ และสำหรับใครที่อยากเพิ่มความอุ่นใจในการใช้รถยนต์ นอกจากการติดฟิล์มกรองแสงให้รถของตัวเองแล้ว การทำ ประกันรถชั้น 1 ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยเพิ่มความอุ่นใจในการใช้รถยนต์ให้คุณได้ โดยสามารถเลือกแผนการทำประกันที่ให้ความคุ้มครองคุ้มค่าและค่าเบี้ยประกันเหมาะสมกับเงินในกระเป๋าของคุณได้ง่าย ๆ เพียงแค่ เช็กเบี้ยประกันรถยนต์ ออนไลน์ที่หน้าเว็บไซต์ insurverse แล้วเปรียบเทียบความคุ้มครองของประกันแต่ละประเภท แม้จะอยู่ที่บ้านก็สามารถเลือกซื้อประกันได้ด้วยตัวเองตลอด 24 ชั่วโมง

check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย