vertical_align_top
keyboard_arrow_leftย้อนกลับ
ราคาติดฟิล์มรถยนต์

เช็กราคาติดฟิล์มรถยนต์และวิธีเลือกฟิล์มให้เหมาะกับรถของตัวเอง

schedule
share
ที่มารูปภาพ : https://www.vecteezy.com/photo/7001090

ท่ามกลางสภาวะอากาศร้อนและแสงแดดแรงของเมืองไทย ผู้ใช้รถส่วนมากจึงเลือกที่จะติดฟิล์มกรองแสงเพื่อลดความร้อนและป้องกันรังสี UV จากแสงแดด อีกทั้งเพิ่มความเป็นส่วนตัว แต่ว่าควรจะเลือกฟิล์มที่มีระดับความเข้มขนาดไหนถึงจะสามารถกันแดดได้โดยไม่ทำให้ทัศนวิสัยการขับรถแย่ และควรเลือกฟิล์มยังไงให้เหมาะกับรถของคุณ วันนี้ insurverse จะพาทุกคนไปหาคำตอบพร้อมเช็กราคาติดฟิล์มรถยนต์ล่าสุดกัน

ทำความรู้จักฟิล์มรถยนต์มีให้เลือกกี่แบบ

ก่อนจะไปเช็กราคาติดฟิล์มรถยนต์ ลองมาทำความรู้จักกับประเภทของฟิล์มติดรถยนต์กันก่อน โดยฟิล์มติดรถยนต์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันมีด้วยกัน 5 ประเภท ดังนี้

  1. ฟิล์มแบบปกติ (Dyed Window Tints)

ฟิล์มติดรถยนต์แบบธรรมดา ราคาไม่สูงมาก เน้นป้องกันแสงแดดและรังสี UV แต่ลดความร้อนได้ไม่ดีนัก และอายุการใช้งานค่อนข้างสั้น

  1. ฟิล์มแบบปรอท (Metallized Window Tints)

ฟิล์มติดรถยนต์ลักษณะเงาวาว มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อนได้ดี ป้องกันรอยขีดข่วนต่าง ๆ ได้ แต่เนื่องจากฟิล์มเคลือบโลหะทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ในรถรับสัญญาณภายนอกได้ไม่ดี

  1. ฟิล์มแบบไฮบริด (Hybrid Window Tints)

ฟิล์มติดรถยนต์แบบย้อมสีมีส่วนผสมของโลหะ มีคุณสมบัติช่วยกรองแสงและป้องกันรอยขีดข่วนได้ดี แต่มีราคาค่อนข้างสูง

  1. ฟิล์มแบบคาร์บอน (Carbon Window Tints)

ฟิล์มติดรถยนต์แบบผิวด้าน มีส่วนผสมของอนุภาคคาร์บอน มีคุณสมบัติช่วยเก็บความร้อนได้ดี เหมาะกับเมืองหนาว

  1. ฟิล์มแบบเซรามิค (Ceramic Window Tints)

ฟิล์มติดรถยนต์ที่ได้รับความนิยมมาก มีคุณสมบัติป้องกันแสงแดดและลดความร้อนได้ดี อายุการใช้งานค่อนข้างนาน แต่มีราคาสูงกว่าฟิล์มชนิดอื่น ๆ

ติดฟิล์มรถยนต์ความเข้มเท่าไหร่ดี

ระดับความเข้มของฟิล์มติดรถยนต์จะแบ่งตามเปอร์เซ็นต์ความเข้มได้ 3 ระดับ ได้แก่ 40% 60% และ 80% ยิ่งเปอร์เซ็นต์มากระดับความเข้มก็ยิ่งมาก

  • ฟิล์มติดรถยนต์ 40% ตัวฟิล์มค่อนข้างใส ไม่ทึบ สามารถมองผ่านได้ง่าย มองเห็นได้ชัดทั้งเวลากลางวันและกลางคืน
  • ฟิล์มติดรถยนต์ 60% ด้วยตัวฟิล์มมีความเข้มไม่มากนักจึงยังมองเห็นได้ชัดในเวลากลางวันและเวลาแสงน้อย
  • ฟิล์มติดรถยนต์ 80% ตัวฟิล์มมีความเข้มสูงมาก ส่วนมากมักนิยมติดกระจกประตูรถทั้ง 4 บาน เพราะไม่กระทบต่อทัศนวิสัยในการขับรถ

วิธีเลือกฟิล์มรถยนต์ให้เหมาะกับรถของตัวเอง

การเลือกติดฟิล์มรถยนต์นอกจากจะต้องพิจารณาเรื่องราคาติดฟิล์มรถยนต์แล้ว ยังต้องพิจารณาคุณสมบัติด้านอื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อให้ได้ฟิล์มที่มีคุณสมบัติเหมาะกับรถของคุณ

  • ระดับความเข้มของฟิล์ม

ยิ่งฟิล์มมีเปอร์เซ็นต์ความเข้มมากก็ยิ่งกรองแสงได้ดี แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ทัศนวิสัยการขับรถเหลือน้อยลงด้วย ด้วยเหตุนี้เจ้าของรถหลายคนจึงเลือกติดฟิล์มโดยใช้สูตร 60:80 หมายความว่าติดฟิล์มกระจกหน้าและหลัง 60% ติดฟิล์มกระจกประตู 4 ด้าน 80%

  • คุณสมบัติการกรองแสง

ฟิล์มติดรถยนต์ที่มีคุณภาพควรมีคุณสมบัติช่วยกรองแสงและป้องกันรังสี UV ได้ไม่ต่ำกว่า 90 – 99% และควรเลือกฟิล์มที่มีค่าสัมประสิทธิ์การบังแดดน้อยกว่า 0.8 จะช่วยป้องกันแสงแดดได้ดียิ่งขึ้น

  • คุณสมบัติพิเศษ

ฟิล์มกรองแสงบางรุ่นมาพร้อมคุณสมบัติพิเศษ เช่น ช่วยป้องกันรอยขีดข่วน หรือป้องกันไม่ให้กระจกแตกกระจายเมื่อถูกกระแทกหรือเกิดอุบัติเหตุ ลดโอกาสที่คุณจะได้รับบาดเจ็บจากเศษกระจก เป็นต้น

  • ร้านตัวแทนจำหน่าย

เนื่องจากฟิล์มกรองแสงเป็นสินค้าที่ค่อนข้างมีราคาจึงควรเลือกซื้อกับร้านหรือตัวแทนจำหน่ายที่มีความน่าเชื่อถือ มีฟิล์มให้เลือกหลายยี่ห้อ และมีการรับประกันหลังการขาย

เช็กราคาติดฟิล์มรถยนต์แบบต่าง ๆ

สำหรับราคาติดฟิล์มรถยนต์จะขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัย ได้แก่ ชนิดของฟิล์ม ขนาดของรถยนต์ และประสบการณ์ของช่างหรือชื่อเสียงของร้าน แต่โดยทั่วไปการติดฟิล์มแบบปรอทกรอบรถเก๋งขนาดกลางทั้งคันจะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยราว 7,000 – 8,000 บาท หากเป็นรถขนาดใหญ่ เช่น รถ SUV หรือรถ VAN ก็จะอยู่ที่ราว 9,000 – 12,000 บาท หรือหากเป็นการติดฟิล์มประสิทธิภาพสูงอย่างฟิล์มเซรามิคจะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยราว 10,000 บาท หากเป็นรถขนาดใหญ่ เช่น รถ SUV หรือรถ VAN จะอยู่ที่ 15,000 – 20,000 บาท


ทั้งหมดนี้คือรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับฟิล์มติดรถยนต์ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ เจ้าของรถคนไหนที่สงสัยว่าราคาติดฟิล์มรถยนต์อยู่ที่เท่าไหร่ก็น่าจะได้คำตอบกันแล้ว และสำหรับใครที่อยากเพิ่มความอุ่นใจในการใช้รถยนต์ นอกจากการติดฟิล์มกรองแสงให้รถของตัวเองแล้ว การทำ ประกันรถยนต์ชั้น 1 ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยเพิ่มความอุ่นใจในการใช้รถยนต์ให้คุณได้ หรือหากใครที่มีงบประมาณจำกัด กลัวว่าจะจ่ายเบี้ยประกันไม่ไหวก็สามารถเลือกทำ ประกันรถยนต์ชั้น 2+ ที่ให้ความคุ้มครองใกล้เคียงกับประกันชั้น 1 แต่ค่าเบี้ยประกันถูกกว่าได้เช่นกัน เพียงเท่านี้ก็ใช้รถได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน

check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย