vertical_align_top
keyboard_arrow_leftย้อนกลับ
ค่าไฟค้างได้กี่เดือน

ค่าไฟค้างได้กี่เดือน? รู้ไว้ก่อนโดนตัดไฟไม่ทันตั้งตัว

schedule
share

เคยไหมที่บิลค่าไฟมาถึงแล้วเราก็แค่รับไว้ แต่ยังไม่ได้จ่ายทันที บางครั้งเพราะยุ่ง บางครั้งเพราะยังไม่มีเงิน บางครั้งก็เพราะลืมสนิท! แต่รู้ไหมว่าการค้างค่าไฟไม่ได้เป็นแค่ปัญหาเล็ก ๆ เพราะมันส่งผลต่อชีวิตประจำวันแบบเต็ม ๆ ตั้งแต่ค่าปรับเพิ่มเติม ไปจนถึงการถูกตัดไฟ ที่จะสร้างความวุ่นวายมากมาย วันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความเข้าใจทุกแง่มุมของปัญหานี้ พร้อมทั้งวิธีป้องกันไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอีก

Thai electric meters
source: https://promotions.co.th/breakingnews/how-many-months-do-not-pay-the-electricity-bill-electric-meter-confiscated.html

ค่าไฟค้างได้กี่เดือน

สำหรับคำถามนี้ คำตอบง่าย ๆ ก็คือ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ เพราะในบางกรณี ลืมจ่ายเพียง 1 วันก็มีโอกาสโดนตัดไฟแล้ว อย่างไรก็ตาม โดยเฉลี่ยแล้ว การไฟฟ้า มักจะปล่อยให้ค้างไว้ประมาณ 1 เดือน หรือปล่อยให้มีบิลเพิ่มมาอีก 1 เดือนจึงจะมาตัดไฟ ตัวอย่างเช่น

  • บิลค่าไฟเดือนมกราคม กำหนดชำระคือ 20 กุมภาพันธ์
  • เมื่อไม่จ่ายและปล่อยไว้จนถึงบิลของเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งจะมาในวันสุดท้ายของเดือนมกราคม นั่นก็คือวันที่ 31 มกราคม มีโอกาสโดนตัดไฟ
  • แต่ถ้าหากจ่ายในวันที่ 30 มกราคม อาจจะไม่โดนตัดไฟ

ผลกระทบจากการค้างค่าไฟ

ค้างค่าไฟไม่ได้แปลว่าต้องจ่ายช้าแล้วจบ มันยังมีผลกระทบอื่น ๆ ที่อาจกระทบชีวิตประจำวันของคุณอย่างรุนแรง โดยผลกระทบเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องการเงิน แต่ยังครอบคลุมถึงความสะดวกสบายและการดำเนินชีวิตแบบปกติ มาดูกันอย่างละเอียด

  1. ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น หากคุณชำระค่าไฟล่าช้า การไฟฟ้าจะเรียกเก็บค่าปรับเพิ่มเติมตามยอดค้างชำระ ซึ่งอาจเริ่มต้นจากหลักสิบหรือหลักร้อยบาท แต่ถ้าค้างไว้นานเกินไป ยอดค่าปรับจะพอกพูนจนเป็นจำนวนที่ยากจะจัดการได้
  2. ไฟฟ้าถูกตัด หากคุณไม่ชำระค่าไฟเกินระยะเวลาที่กำหนด การไฟฟ้าสามารถตัดไฟได้โดยไม่ต้องแจ้งเตือนล่วงหน้า ซึ่งจะส่งผลให้บ้านของคุณไม่มีไฟฟ้าใช้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานหลอดไฟ เครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ที่ต้องพึ่งพาไฟฟ้า
  3. ค่าใช้จ่ายในการต่อไฟใหม่ การที่ไฟถูกตัดไม่ได้หมายความว่าแค่จ่ายค่าไฟค้างแล้วไฟจะกลับมา คุณยังต้องเสียค่าธรรมเนียมการต่อไฟใหม่ ซึ่งรวมถึงค่าตรวจสอบอุปกรณ์ภายในบ้าน ค่าเปลี่ยนหรือซ่อมแซมระบบไฟฟ้าที่อาจเสียหาย และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอื่น ๆ ซึ่งรวมกันอาจเป็นเงินจำนวนไม่น้อย
  4. ผลกระทบต่อการใช้ชีวิต การไม่มีไฟฟ้าใช้ไม่ใช่แค่ทำให้บ้านมืดเท่านั้น แต่มันยังส่งผลต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น ตู้เย็นที่ใช้เก็บอาหารอาจทำให้อาหารเสีย อินเทอร์เน็ตที่ใช้ไม่ได้จะกระทบงานหรือการเรียน รวมถึงพัดลมหรือแอร์ที่หยุดทำงานจะทำให้คุณต้องทนร้อนในบ้าน
  5. ความลำบากในการจัดการชีวิตประจำวัน การไม่มีไฟฟ้าอาจทำให้คุณต้องปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันอย่างสิ้นเชิง เช่น การใช้เทียนแทนไฟ หรือหาที่ชาร์จแบตโทรศัพท์นอกบ้าน ซึ่งเพิ่มความไม่สะดวกและอาจเพิ่มค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็น

เมื่อเกิดความเสียหายกับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเนื่องจากปัญหาไฟฟ้า การมีประกันบ้านที่ครอบคลุมอุปกรณ์ไฟฟ้าสามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ได้ ดังนั้น การวางแผนเรื่องประกันบ้านจึงสำคัญไม่น้อยไปกว่าการชำระค่าไฟให้ตรงเวลา

สาเหตุที่การไฟฟ้าตัดไฟ

หลายคนอาจสงสัยว่า การไฟฟ้าตัดไฟด้วยเหตุผลอะไรบ้าง โดยสาเหตุหลัก ๆ มีดังนี้

  1. ค้างชำระค่าไฟ การไม่ชำระค่าไฟตามกำหนดเป็นเหตุผลหลักและพบได้บ่อยที่สุด หากคุณปล่อยให้ค้างจ่าย การไฟฟ้าสามารถระงับการจ่ายไฟได้ทันที โดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้าในกรณีที่เกินกำหนดนานเกินไป
  2. การละเมิดกฎระเบียบของการไฟฟ้า เช่น การขายต่อไฟฟ้าให้บุคคลอื่น การดัดแปลงระบบไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการเชื่อมต่อไฟฟ้าอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งการไฟฟ้ามองว่าเป็นการใช้งานที่ไม่ปลอดภัยและอาจกระทบต่อระบบโดยรวม
  3. การใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ส่งผลกระทบต่อระบบ หากอุปกรณ์ไฟฟ้าของคุณสร้างคลื่นรบกวนที่ส่งผลต่ออุปกรณ์ของผู้ใช้งานคนอื่น หรือทำให้เกิดปัญหาความไม่เสถียรในระบบไฟฟ้า การไฟฟ้ามีสิทธิ์ตัดไฟเพื่อแก้ไขปัญหานี้
  4. การไม่วางหลักประกันการใช้ไฟฟ้า บางกรณีที่การไฟฟ้ากำหนดให้วางหลักประกันเพิ่มเติมเพื่อครอบคลุมการใช้ไฟฟ้า หากไม่ได้ดำเนินการตามที่กำหนด อาจถูกงดจ่ายไฟจนกว่าจะดำเนินการให้ครบถ้วน
  5. การใช้งานที่ผิดประเภทหรือผิดกฎหมาย เช่น การใช้ไฟฟ้าสำหรับกิจการที่ไม่ได้ระบุในสัญญาหรือการเปลี่ยนประเภทการใช้งานไฟฟ้าโดยไม่ได้แจ้งการไฟฟ้า การละเมิดลักษณะนี้ถือเป็นการผิดสัญญาและอาจนำไปสู่การตัดไฟได้
  6. ความไม่ปฏิบัติตามคำเตือน หากการไฟฟ้าได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนเกี่ยวกับปัญหาหรือการละเมิดกฎที่เกี่ยวข้อง และไม่มีการดำเนินการแก้ไขตามเวลาที่กำหนด การไฟฟ้ามีสิทธิ์ตัดไฟได้เช่นกัน

แนะนำวิธีจ่ายค่าไฟผ่าน PEA Smart Plus

สำหรับผู้ใช้บริการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) แอปพลิเคชัน PEA Smart Plus เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยให้การจ่ายค่าไฟสะดวกและรวดเร็ว โดยสามารถทำได้ผ่านขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้

  1. ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน

แอป PEA Smart Plus สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ iOS และ Android ผ่าน App Store และ Google Play Store เมื่อดาวน์โหลดเสร็จแล้ว ให้ติดตั้งและเปิดแอปเพื่อเริ่มต้นใช้งาน

  1. ลงทะเบียนผู้ใช้งาน

หากคุณยังไม่เคยใช้แอป ให้ลงทะเบียนโดยกรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ-นามสกุล หมายเลขโทรศัพท์ และอีเมล ตั้งรหัสผ่านที่ปลอดภัย และยืนยันตัวตนผ่าน OTP (One-Time Password) ที่ส่งมายังหมายเลขโทรศัพท์ของคุณ

  1. เพิ่มข้อมูลหมายเลขผู้ใช้ไฟฟ้า

เข้าไปที่เมนู “เพิ่มผู้ใช้ไฟฟ้า” แล้วกรอกหมายเลขผู้ใช้ไฟฟ้าจากบิลค่าไฟของคุณ หลังจากกรอกข้อมูล ระบบจะบันทึกและแสดงสถานะค่าไฟปัจจุบันของคุณ

  1. ตรวจสอบยอดค่าไฟ

เลือกผู้ใช้ไฟฟ้าที่ต้องการชำระค่าไฟ ระบบจะแสดงยอดที่ต้องชำระพร้อมรายละเอียดบิล เช่น เดือนที่ค้างชำระและวันที่ครบกำหนด

  1. เลือกวิธีการชำระเงิน

ในแอป PEA Smart Plus คุณสามารถเลือกวิธีชำระเงินได้หลายรูปแบบ เช่น บัตรเครดิต/เดบิต โมบายแบงก์กิ้ง หรือการสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อจ่ายผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร

  1. ยืนยันการชำระเงิน

เมื่อเลือกวิธีชำระเงินแล้ว ให้ตรวจสอบยอดเงินอีกครั้งก่อนกดยืนยัน ระบบจะแสดงสถานะการชำระเงินว่าเสร็จสมบูรณ์ และคุณสามารถบันทึกใบเสร็จการชำระเงินไว้เป็นหลักฐาน

โดนตัดไฟแล้ว ต้องทำยังไง?

หากคุณถูกตัดไฟ อย่าเพิ่งตกใจ เพราะยังมีวิธีจัดการอย่างเป็นขั้นตอนเพื่อให้กลับมาใช้งานไฟฟ้าได้ตามปกติ ซึ่งคุณสามารถดำเนินการได้ดังนี้

  1. ตรวจสอบสถานการณ์และสาเหตุ

เริ่มต้นด้วยการตรวจสอบใบแจ้งหนี้ล่าสุด ดูว่าคุณค้างชำระยอดเงินเท่าไหร่ และมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมอะไรบ้าง เช่น ค่าธรรมเนียมการต่อไฟใหม่หรือค่าปรับอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

หากไม่ได้รับใบแจ้งหนี้หรือไม่แน่ใจเกี่ยวกับสาเหตุการตัดไฟ ให้ติดต่อศูนย์บริการของการไฟฟ้าในพื้นที่เพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

  1. รวบรวมเงินที่ต้องชำระ

เมื่อทราบยอดทั้งหมดแล้ว ให้รวบรวมเงินที่ต้องชำระให้ครบถ้วน รวมถึงค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมเพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้าในการดำเนินการ

หากยอดเงินที่ค้างชำระมากเกินไป คุณอาจสามารถเจรจากับการไฟฟ้าเพื่อขอผ่อนชำระได้ในบางกรณี

  1. ชำระเงินทันที

ดำเนินการชำระค่าไฟผ่านช่องทางที่สะดวก เช่น เคาท์เตอร์เซอร์วิส หรือแอปพลิเคชั่นของการไฟฟ้า ควรเก็บหลักฐานการชำระเงินไว้ เพื่อใช้ยืนยันกับการไฟฟ้าหากมีปัญหา

  1. แจ้งขอต่อไฟกลับ

หลังจากชำระเงินเรียบร้อยแล้ว ให้ยื่นคำร้องขอต่อไฟกลับที่สำนักงานการไฟฟ้า หรือผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น ผ่านไลน์แอด หรือเบอร์โทรก็สามารถทำได้เช่นกัน

การไฟฟ้าจะดำเนินการตรวจสอบความถูกต้อง และมักจะต่อไฟกลับให้ภายใน 1 วันทำการ หากไม่มีปัญหาอื่น ๆ

  1. ตรวจสอบสถานะหลังการต่อไฟ:

เมื่อไฟฟ้ากลับมาใช้งานได้ ควรตรวจสอบว่าทุกระบบในบ้านทำงานปกติหรือไม่ หากพบปัญหา เช่น ไฟบางส่วนไม่ติด หรือมีอุปกรณ์ไฟฟ้าเสียหาย ให้รีบดำเนินการแก้ไขทันที

นอกจากการจัดการค่าไฟแล้ว การเพิ่มความคุ้มครองด้วยประกันบ้านที่ครอบคลุมทั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าและทรัพย์สินอื่น ๆ ยังช่วยให้คุณอุ่นใจในระยะยาว ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันใด ๆ ก็ตาม สามารถ เช็คเบี้ยประกันบ้าน ได้ง่าย ๆ ผ่านทาง insurverse

สรุป

ค้างค่าไฟอาจเป็นปัญหาที่หลายคนมองข้าม แต่ความจริงแล้วมันส่งผลกระทบที่ใหญ่กว่าที่คิด ทั้งในเรื่องค่าใช้จ่ายและความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน การจัดการปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ใส่ใจและปฏิบัติตามวิธีที่เราแนะนำ คุณก็สามารถหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้อย่างง่ายดาย

คำถามที่พบบ่อย

check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย

© Copyright 2023 บริษัท อินชัวร์เวิร์ส จำกัด (มหาชน)