vertical_align_top
keyboard_arrow_leftย้อนกลับ
มือใหม่ควรรู้ จั๊มสตาร์ทรถยนต์แบบไหนไม่ระเบิด

มือใหม่ควรรู้ จั๊มสตาร์ทรถยนต์แบบไหนไม่ระเบิด

schedule
share
มือใหม่ควรรู้ จั๊มสตาร์ทรถยนต์แบบไหนไม่ระเบิด

แบตเตอรี่รถยนต์ เป็นอุปกรณ์สำคัญที่มีหน้าที่ในการจัดเก็บพลังงานและเป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับใช้สตาร์ทรถยนต์ พร้อมกับจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์ในขณะที่ยังไม่ได้สตาร์ทเครื่องยนต์

ลักษณะหน้าที่ที่สำคัญของแบตเตอรี่รถยนต์

1. แหล่งพลังงานหลัก

หน้าที่หลักของแบตเตอรี่รถยนต์ คือ การจ่ายกระแสไฟฟ้าสำหรับการสตาร์ทเครื่องยนต์ โดยจะส่งกระแสไฟปริมาณมากไปยังมอเตอร์สตาร์ท ให้เครื่องยนต์สตาร์ทติดก่อนเริ่มกระบวนการเผาไหม้ต่อไป

2. ควบคุมการจ่ายแรงดันไฟฟ้า

โดยทั่วไปแบตเตอรี่รถยนต์จะมีแรงดัน 12 โวลต์ ซึ่งมีความสำคัญต่อการทำงานที่เหมาะสมของอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ในรถยนต์ เช่น ระบบไฟ, เครื่องเล่นวิทยุ, เครื่องปรับอากาศ, กระจกไฟฟ้า ฯลฯ เพื่อให้การทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ มีความเสถียร

3. จัดเก็บประจุ

แบตเตอรี่รถยนต์ได้รับการออกแบบมาให้สามารถชาร์จประจุไฟฟ้าและจัดเก็บได้ ขณะที่เครื่องยนต์กำลังทำงาน โดยไดนาโมหรือ อัลเทอร์เนเตอร์ จะสร้างกระแสไฟฟ้าที่ได้จากการทำงานของเครื่องยนต์ ก่อนที่จะถูกจัดเก็บเข้าไปในแบตเตอรี่ เพื่อใช้สำหรับการใช้งานสตาร์ทเครื่องยนต์ในครั้งถัดไป

ถ้าแบตเตอรี่หมด จะทำอย่างไร

หากแบตเตอรี่รถยนต์ของคุณหมดและกำลังตกอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถสตาร์ทรถติดได้ คุณสามารถที่จะใช้วิธีต่อไปนี้ในการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้ เพื่อให้รถยนต์ของคุณกลับมาสตาร์ทติดและขับขี่ต่อไปได้

จั๊มสตาร์ทรถยนต์ วิธีช่วยให้รถกลับมาสตาร์ทติด

ซึ่งวิธีการดังกล่าวเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและควรทำบนพื้นฐานของความปลอดภัย เพื่อที่จะไม่ให้การจั๊มสตาร์ทรถยนต์ไม่ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ระเบิดและได้รับความเสียหาย โดยมีอุปกรณ์และขั้นตอนดังนี้

  1. สายพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ 2 เส้น
  2. นำรถที่จะมาช่วยให้อยู่ในตำแหน่งที่สายพ่วงแบตจะสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้
  3. ดับเครื่องยนต์ของรถที่จะมาช่วย โดยให้มั่นใจว่า กุญแจรถของทั้ง 2 คัน อยู่ในตำแหน่ง Off และรถทั้งสองคันจะต้องให้เกียร์อยู่ในตำแหน่ง P สำหรับรถยนต์เกียร์อัตโนมัติและตำแหน่ง N สำหรับรถยนต์เกียร์ธรรมดา (เกียร์กระปุก)
  4. เปิดฝากระโปรงรถของทั้งสองคัน
  5. เชื่อมต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ที่ ขั้วบวก (+) สีแดงของรถที่มาช่วย เข้ากับ ขั้วบวก (+) ของรถยนต์ที่แบตเตอรี่หมด
  6. เชื่อมต่อสายพ่วงแบตเตอรี่อีกเส้นที่ ขั้วลบ (-) สีดำของรถที่มาช่วย เข้ากับตัวถังรถหรือพื้นผิวโลหะที่ไม่ทาสีบนตัวรถที่แบตเตอรี่หมดและให้ปลายสายอยู่ห่างจากแบตเตอรี่
  7. ทำการสตาร์ทรถยนต์ที่มาช่วย จากนั้นปล่อยให้รถติดเครื่องทิ้งไว้ 2-3 นาที
  8. เมื่อรอครบ 2-3 นาที ให้สตาร์ทรถที่แบตหมด หากสตาร์ทติดถือเป็นสิ้นสุดการจั๊มสตาร์ทรถยนต์
  9. ถอดสายพ่วงแบตจากรถที่แบตเตอรี่หมด โดยห้ามให้สายพ่วงสัมผัสกัน
  10. จากนั้นให้รถที่แบตหมด ขับไปร้านจำหน่ายแบตเตอรี่รถยนต์ เพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ เนื่องจากแบตเตอรี่ที่หมดแล้ว แม้จะมีการจั๊มสตาร์ทรถยนต์ ก็สามารถกลับมาสตาร์ทไม่ติดได้ เพราะแบตเตอรี่เสื่อมตามอายุนั่นเอง
  11. ข้อห้ามสำหรับการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์นั่นคือ ห้ามนำขั่วลบ ไปต่อกับขั่วลบแบตเตอรี่ของรถอีกคันและระมัดระวังการสัมผัสของสายพ่วงแบตระหว่างขั่วบวกกับขั่วลบ เพราะอาจทำให้เกิดประกายไฟจนเกิดการระเบิดหรือไฟไหม้ได้

หลังจากทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์อย่างถูกวิธีแล้ว อย่าลืมที่จะดูแลรักษา ตรวจเช็กแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ให้ยาวนานและที่สำคัญอย่าลืมที่จะทำประกันภัยรถยนต์ด้วย ไม่ว่าจะรถเก่า รถใหม่ ประกันรถยนต์ insurverse ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุม มีหลายแบบให้เลือกตามต้องการ เช่น ประกันรถยนต์ชั้น 1 หรือ 2+ แม้จะเกิดเหตุเพลิงไหม้จากอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ประกันรถยนต์ออนไลน์ insurverse บริษัทประกันภัยในเครือทิพย หนึ่งในผู้ให้บริการประกันภัยออนไลน์ พร้อมที่จะดูแลคุณทันที เช็กเบี้ยประกันรถยนต์ที่นี่!

check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย

© Copyright 2023 บริษัท อินชัวร์เวิร์ส จำกัด (มหาชน)