vertical_align_top
keyboard_arrow_leftย้อนกลับ
black card คืออะไร สิทธิพิเศษที่มาพร้อมกับบัตรสุดหรู

Black Card คืออะไร สิทธิพิเศษที่มาพร้อมกับบัตรสุดหรู

schedule
share

ถ้าพูดถึงบัตรเครดิตที่ถูกยกให้เป็น “ที่สุดของที่สุด” คงหนีไม่พ้น Black Card บัตรที่เป็นมากกว่าบัตรเครดิตทั่วไป เพราะนี่คือสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและไลฟ์สไตล์ระดับสูงสุด โดย Black Card เป็นบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตประเภทพรีเมียมที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์ระดับเอกสิทธิ์เฉพาะผู้ถือบัตรเท่านั้น บัตรนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อคนทั่วไป แต่เจาะจงไปยังผู้ที่มีรายได้ระดับสูงมาก ๆ หรือผู้ที่มียอดการใช้จ่ายมหาศาลต่อปี เช่น ดาราฮอลลีวูด เจ้าของธุรกิจข้ามชาติ และนักลงทุนรายใหญ่

บัตรนี้ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1984 โดยบริษัท American Express เพื่อมอบสิทธิพิเศษแบบไร้ขีดจำกัดให้กับลูกค้าที่ใช้จ่ายผ่านบัญชีธนาคารในระดับที่สูงมาก หรือเป็นบุคคลสำคัญในสังคม เช่น CEO ดาราชื่อดัง หรือบุคคลในแวดวงชั้นนำ จนถึงปัจจุบัน Black Card กลายเป็นเครื่องหมายของความหรูหราและความเป็นที่สุดในทุกมิติ

ประเภทของ Black Card

Black Card ประเภทบัตรเครดิต

ประเภทนี้เป็นที่นิยมมากที่สุด โดยบัตรเครดิต Black Card จะมีวงเงินในการใช้จ่ายสูงเกินกว่าบัตรเครดิตทั่วไป และมาพร้อมสิทธิพิเศษที่หาไม่ได้จากบัตรอื่น เช่น การเข้าใช้บริการเลานจ์ในสนามบิน การจองโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว หรือการมีเลขาส่วนตัวคอยช่วยจัดการทุกอย่างในชีวิตประจำวัน ผู้ถือบัตรนี้มักต้องมีเงื่อนไขยอดการใช้จ่ายขั้นต่ำต่อปีที่สูง และผ่านการคัดเลือกจากธนาคารอย่างเข้มงวด

Black Card ประเภทบัตรเดบิต

บัตรประเภทนี้ทำงานเหมือนบัตรเดบิตทั่วไป แต่ยกระดับสิทธิประโยชน์ให้เหนือกว่า โดยมักเชื่อมต่อกับบัญชีธนาคารของผู้ถือบัตรโดยตรง สามารถใช้จ่ายได้ตามยอดเงินในบัญชี สิทธิพิเศษรวมถึงการเข้าถึงโรงแรมและร้านอาหารระดับไฮเอนด์ พร้อมบริการที่ปรึกษาด้านการเงินที่คอยช่วยจัดการทรัพย์สินอย่างมืออาชีพ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะได้รับบัตรนี้จะต้องมียอดเงินฝากในบัญชีถึงเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนดไว้

ใครบ้างที่มีสิทธิ์ถือบัตร Black Card

การจะได้ครอบครอง Black Card ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะผู้ถือบัตรต้องผ่านการเชิญจากธนาคารเท่านั้น ไม่มีตัวเลือกให้สมัครเอง คุณสมบัติเบื้องต้นคือ

  • มีรายได้ขั้นต่ำต่อปีไม่ต่ำกว่า 1.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 45 ล้านบาท)
  • มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรขั้นต่ำต่อปี 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 8.7 ล้านบาท)
  • มีเงินฝากในบัญชีที่ค้ำประกันบัตรอย่างน้อย 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 175 ล้านบาท)
  • ไม่มีประวัติเสียหายทางการเงิน เช่น ติดแบล็คลิสต์หรือติดเครดิตบูโร
  • ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแรกเข้า 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 175,350 บาท) และค่าธรรมเนียมรายปี 2,500 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 87,675 บาท)

เงื่อนไขการใช้งาน Black Card

การถือ Black Card ไม่ใช่แค่โชว์ความหรูหรา แต่ยังมีเงื่อนไขการใช้งานที่เข้มงวด ผู้ถือบัตรต้องรักษายอดใช้จ่ายผ่านบัตรในแต่ละปีตามที่ธนาคารกำหนด เช่น ยอดใช้จ่ายขั้นต่ำต่อปี 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ และต้องมีประวัติการเงินที่ดีเยี่ยมเสมอ นอกจากนี้ ผู้ถือบัตรต้องมีเงินฝากหรือการลงทุนร่วมกับธนาคารในมูลค่าที่สูงมากเพื่อเป็นการการันตี

สิทธิประโยชน์ของ Black Card

สิ่งที่ทำให้ Black Card เป็นที่ต้องการคือสิทธิประโยชน์สุดพิเศษที่ผู้ถือบัตรจะได้รับ เช่น

  • วงเงินไม่จำกัด ผู้ถือบัตรสามารถใช้จ่ายได้อย่างอิสระโดยไม่มีข้อจำกัดในวงเงินสูงสุด
  • Priority Pass สนามบิน บัตรนี้มอบสิทธิ์ให้คุณเข้าใช้บริการเลานจ์สนามบินที่ดีที่สุดในโลกแบบไม่จำกัดครั้ง ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนก็สะดวกสบาย
  • เลขาส่วนตัว ผู้ถือบัตรจะมีเลขาส่วนตัว (Personal Concierge) คอยดูแลทุกความต้องการ ตั้งแต่การจองโต๊ะร้านอาหารหรู การจองโรงแรม ไปจนถึงการวางแผนการเดินทาง
  • บริการเครื่องบินส่วนตัว บัตร Black Card มอบสิทธิ์ให้ผู้ถือบัตรใช้บริการเครื่องบินส่วนตัวฟรี 1 ครั้งต่อปี
  • ห้องพักระดับ First Class บัตรนี้ครอบคลุมสิทธิ์การเข้าพักในห้องพักสุดหรูระดับ First Class ของโรงแรมชั้นนำทั่วโลก
  • สิทธิพิเศษในช้อปปิ้งแบรนด์เนม ไม่ว่าคุณจะซื้อสินค้าจากแบรนด์หรูที่ไหน บัตรนี้จะมอบบริการพิเศษ เช่น เลขาส่วนตัวช่วยเลือกสินค้า หรือส่วนลดพิเศษจากแบรนด์ระดับโลก
  • สิทธิพิเศษโรงแรมระดับโลก สมาชิกสามารถเข้าพักในเครือโรงแรมหรู เช่น Mandarin Oriental พร้อมสิทธิพิเศษ เช่น ฟรี 1 คืนเมื่อจองอย่างน้อย 1 คืน หรืออัปเกรดห้องพักฟรี
  • สิทธิการใช้บริการเช่ารถระดับพรีเมียม บัตรนี้มอบสิทธิ์เข้าร่วม Easirent Car Hire Platinum Service และ Avis Rent a Car President’s Club ซึ่งมอบประสบการณ์การเช่ารถแบบเหนือระดับ

การเข้าร่วม Avis Rent a Car President’s Club สำหรับการเช่ารถหรูช่วยให้การเดินทางสมบูรณ์แบบ แต่การเดินทางด้วยรถส่วนตัวในต่างประเทศก็อาจมีความเสี่ยงเช่นกัน อย่าลืมเช็กเบี้ยประกันเดินทางต่างประเทศจาก insurverse คุ้มครองกรณีอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง และยังช่วยให้คุณปรับแพ็กเกจตามไลฟ์สไตล์ได้แบบยืดหยุ่น เพิ่มความปลอดภัยทุกครั้งที่เดินทาง

  • สิทธิพิเศษในห้องรับรอง Centurion Lounge บัตรนี้ให้สิทธิ์เข้าใช้ Centurion Lounge ที่สนามบินทั่วโลก พร้อมบริการพิเศษเฉพาะ เช่น เครื่องดื่มพรีเมียม Veuve Clicquot และ Single Malt Scotch โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เลานจ์แออัด ผู้ถือบัตรจะมีโซนพิเศษแยกต่างหาก
  • สะสมคะแนนพิเศษ ผู้ถือบัตรในสหรัฐฯ จะได้รับคะแนน 1.5 ต่อทุกการใช้จ่าย $5,000 ขึ้นไป โดยจำกัดที่ 1 ล้านคะแนนต่อปี และสามารถนำคะแนนไปแลกสิทธิประโยชน์ระดับโลกได้
  • สิทธิพิเศษเพิ่มเติมสำหรับสนามบิน ผู้ถือบัตรในประเทศแคนาดาสามารถเข้าใช้ Maple Leaf Lounges เครือข่ายเลานจ์ของ Air Canada ได้ฟรี รวมถึง Priority Pass ที่ครอบคลุมทั่วโลก และพื้นที่พิเศษเฉพาะ Centurion Card ในสนามบินที่แออัด
  • สิทธิพิเศษโรงแรมและรีสอร์ต สิทธิพิเศษเพิ่มเติมสำหรับการพักในเครือโรงแรม Ritz-Carlton, Leading Hotels of the World และ Amanresorts พร้อมอัปเกรดห้องพักแบบพรีเมียม

สิทธิพิเศษของ Black Card ที่มอบ Priority Pass และสิทธิ์เข้าเลานจ์ Centurion Lounge ช่วยให้ผู้ถือบัตรได้พักผ่อนอย่างสะดวกสบายในสนามบินทั่วโลก แต่การเดินทางต่างประเทศยังต้องการความอุ่นใจที่มากกว่า ประกันเดินทางต่างประเทศจาก insurverse ช่วยเพิ่มความมั่นใจ ด้วยบริการช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเกิดไฟลต์ดีเลย์หรือกระเป๋าเดินทางเสียหาย พร้อมคุ้มครองในราคาสบายกระเป๋า เริ่มต้นเพียง 59 บาท

ข้อดีของ Black Card

  • สิทธิประโยชน์เฉพาะตัวที่ไม่สามารถหาได้จากบัตรเครดิตทั่วไป
  • เพิ่มความสะดวกสบายและรวดเร็วในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางหรือการใช้บริการ
  • ระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุด ลดความเสี่ยงจากการถูกปลอมแปลงบัตร
  • โอกาสสะสมคะแนนเพื่อแลกรับสิทธิพิเศษที่หรูหรา เช่น การพักผ่อนในรีสอร์ทระดับโลก

ข้อจำกัดของ Black Card

  • ค่าธรรมเนียมรายปีที่สูงมาก อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้งานสิทธิพิเศษบ่อย
  • ไม่รองรับการใช้งานในธุรกิจบางประเภท เช่น ร้านค้าขนาดเล็กหรือธุรกิจที่ไม่รองรับบัตรระดับพรีเมียม
  • มีเงื่อนไขการใช้งานที่ซับซ้อน และผู้ถือบัตรต้องมีความเข้าใจในระบบการเงินอย่างดี

สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้เกี่ยวกับ Black Card

  1. Black Card ไม่ใช่บัตรที่สมัครได้ทั่วไป ต้องได้รับการเชิญจากธนาคารเท่านั้น
  2. บัตรนี้มีจำนวนจำกัดทั่วโลก และออกให้เฉพาะลูกค้าระดับ Ultra High Net Worth
  3. นอกจากสิทธิประโยชน์ที่หรูหราแล้ว บัตรนี้ยังมาพร้อมบริการให้คำปรึกษาด้านการเงินจากผู้เชี่ยวชาญ
  4. ธนาคารเจ้าของบัตรมักจัดงานอีเวนต์สุดเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะผู้ถือบัตร เช่น งานแฟชั่นโชว์ หรืองานเปิดตัวสินค้าหรู
  5. บัตรนี้สามารถโอนสิทธิประโยชน์บางอย่างให้สมาชิกในครอบครัวได้ เช่น การเข้าเลานจ์สนามบิน

สรุป

Black Card เป็นมากกว่าบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตทั่วไป มันคือ “ประตูสู่โลกของสิทธิพิเศษ” ที่ตอบโจทย์ชีวิตระดับสูงสุด แต่ด้วยเงื่อนไขที่เข้มงวดและค่าธรรมเนียมที่สูงมาก ทำให้บัตรนี้เหมาะสำหรับผู้ที่สามารถใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ หากคุณมีโอกาสถือครอง Black Card มันไม่ใช่แค่บัตรเครดิต แต่เป็นการประกาศความเป็นตัวตนในระดับที่แตกต่างจากคนอื่นอย่างชัดเจน

5 คำถามที่พบบ่อย

Black Card สามารถใช้ได้ทุกที่ทั่วโลกหรือไม่?

แม้ว่า Black Card จะเป็นบัตรระดับสูงสุด แต่ไม่ได้หมายความว่าสามารถใช้ได้ทุกที่ ร้านค้าหรือธุรกิจบางแห่งที่ไม่รองรับบัตรเครดิตประเภทพรีเมียมอาจปฏิเสธการใช้บัตรนี้ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก หรือร้านที่รับเฉพาะเงินสดเท่านั้น

บัตร Black Card มีจำนวนจำกัดหรือไม่?

ใช่ บัตรนี้ไม่ได้ออกให้กับทุกคน และมีจำนวนจำกัดในแต่ละประเทศ เนื่องจากต้องได้รับการเชิญจากธนาคารหรือสถาบันการเงินเท่านั้น ทำให้ผู้ถือบัตรส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่มีฐานะทางการเงินระดับสูงมาก

สามารถโอนสิทธิพิเศษของ Black Card ให้สมาชิกในครอบครัวได้หรือไม่?

บางสิทธิพิเศษสามารถโอนได้ เช่น สิทธิ์การเข้าใช้เลานจ์สนามบินระดับพรีเมียม หรือบริการผู้ช่วยส่วนตัว แต่สิทธิพิเศษบางอย่าง เช่น Priority Pass แบบไม่จำกัด หรือบริการเครื่องบินส่วนตัว มักถูกจำกัดให้เฉพาะเจ้าของบัตรเท่านั้น

ค่าธรรมเนียมรายปีของ Black Card คุ้มค่าหรือไม่?

ความคุ้มค่าขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของผู้ถือบัตร หากมีการเดินทางบ่อย ใช้บริการโรงแรมหรู หรือเช่ารถพรีเมียมเป็นประจำ Black Card อาจให้ความคุ้มค่าในแง่ของสิทธิพิเศษและความสะดวกสบาย แต่หากไม่ได้ใช้สิทธิพิเศษเหล่านี้เป็นประจำ ค่าธรรมเนียมรายปีที่สูงมากอาจไม่คุ้มค่า

บัตร Black Card มีอายุการใช้งานหรือไม่?

บัตร Black Card ไม่มีวันหมดอายุในแง่ของสิทธิ์การเป็นสมาชิก แต่ธนาคารจะประเมินสถานะทางการเงินและยอดใช้จ่ายของผู้ถือบัตรทุกปี หากไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด อาจไม่ได้รับการต่ออายุ หรือถูกเรียกคืนบัตรได้

check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย