vertical_align_top
keyboard_arrow_leftย้อนกลับ
แผลฟกช้ำรักษาอย่างไรให้หายเร็ว? เคล็ดลับง่าย ๆ ใช้ได้จริง

แผลฟกช้ำรักษาอย่างไรให้หายเร็ว? เคล็ดลับง่าย ๆ ใช้ได้จริง

schedule
share

แผลฟกช้ำอาจดูเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้าไม่ดูแลดี ๆ ก็อาจทำให้หายช้าหรือปวดนานกว่าที่คิด มันเกิดจากเส้นเลือดใต้ผิวหนังได้รับแรงกระแทกจนแตก ทำให้เลือดไหลออกมาสะสมอยู่ใต้ผิวหนังโดยที่ไม่มีบาดแผลเปิด สีของรอยช้ำจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่สีแดง ม่วง น้ำเงิน เขียว เหลือง และค่อย ๆ จางลงจนหายสนิท มาดูกันว่าควรดูแลยังไงให้รอยช้ำหายไว และวิธีไหนที่ช่วยลดอาการปวดได้ดีที่สุด

อย่างไรก็ตาม ถ้าเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุรุนแรง เช่น การหกล้มแรง ๆ หรือการกระแทกขณะเล่นกีฬา อาจนำไปสู่การบาดเจ็บของกระดูกและเส้นเอ็นที่มองไม่เห็นจากภายนอก การเช็กเบี้ยประกันอุบัติเหตุจาก insurverse ช่วยให้มั่นใจได้ว่า หากต้องเข้ารับการตรวจหรือรักษาเพิ่มเติม ค่าใช้จ่ายจะไม่เป็นปัญหา

แผลฟกช้ำเกิดขึ้นได้ยังไง และทำไมมันถึงเปลี่ยนสี

แผลฟกช้ำเกิดจากแรงกระแทกที่ทำให้เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังแตก แต่เลือดไม่สามารถไหลออกจากร่างกายได้ ทำให้เกิดการสะสมของเลือดใต้ชั้นผิวหนัง เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายจะค่อย ๆ สลายเลือดที่คั่งอยู่ ทำให้รอยช้ำเปลี่ยนสีไปตามลำดับ

  1. ช่วงแรก (0-2 วัน) – รอยช้ำจะเป็นสีแดง เพราะเลือดที่ไหลออกมาใหม่ ๆ ยังมีออกซิเจนอยู่
  2. ช่วงกลาง (3-5 วัน) – สีเริ่มเปลี่ยนเป็นม่วงหรือน้ำเงิน เพราะออกซิเจนในเลือดเริ่มลดลง
  3. ช่วงฟื้นตัว (6-10 วัน) – รอยช้ำกลายเป็นสีเขียวหรือเหลือง เพราะร่างกายเริ่มย่อยสลายเม็ดเลือด
  4. ช่วงสุดท้าย (10-14 วันขึ้นไป) – รอยช้ำจะค่อย ๆ จางลงและกลับมาเป็นสีผิวปกติ

วิธีดูแลแผลฟกช้ำให้หายเร็ว

  1. ประคบเย็นทันทีหลังได้รับบาดเจ็บ
    ใช้ถุงน้ำแข็งหรือผ้าห่อน้ำแข็งประคบบริเวณรอยช้ำ 10-15 นาทีทุก 2-3 ชั่วโมงในช่วง 24 ชั่วโมงแรก จะช่วยลดการไหลของเลือดและลดอาการบวม
  2. ยกส่วนที่บาดเจ็บให้สูงขึ้น
    ถ้าแผลฟกช้ำเกิดที่แขนหรือขา ควรยกขึ้นให้สูงกว่าระดับหัวใจเพื่อลดอาการบวมและช่วยให้เลือดไหลเวียนกลับเข้าสู่ร่างกายได้เร็วขึ้น
  3. เปลี่ยนเป็นประคบร้อนหลัง 48 ชั่วโมง
    หลังจากผ่าน 48 ชั่วโมงแรกแล้ว ควรเปลี่ยนมาใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นหรือแผ่นประคบร้อนช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด เพื่อลดการคั่งของเลือดที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนัง
  4. ใช้ยาแก้ปวดหรือครีมลดอักเสบ
    ถ้ามีอาการปวด สามารถใช้ยาแก้ปวดเช่น พาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟนได้ และอาจใช้ครีมหรือเจลลดอักเสบที่มีส่วนผสมของอาร์นิกาหรือไดโคลฟีแนคเพื่อช่วยบรรเทาอาการ
  5. เลี่ยงการกดหรือกระแทกซ้ำ
    หากมีแผลฟกช้ำที่เกิดจากการเล่นกีฬา ควรหยุดพักหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจทำให้เกิดแรงกระแทกซ้ำที่เดิม
https://www.sciencephoto.com/media/506557/view/haemodialysis-bruised-arm

แผลฟกช้ำแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์

ส่วนใหญ่รอยฟกช้ำจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ถ้าพบอาการเหล่านี้ ควรไปพบแพทย์ทันที

  • แผลฟกช้ำที่มีอาการบวมแดงรุนแรงและปวดมากผิดปกติ
  • มีรอยช้ำที่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีการกระแทกมาก่อน อาจเป็นสัญญาณของโรคเลือด
  • มีอาการชา อ่อนแรง หรือสูญเสียการเคลื่อนไหวบริเวณที่บาดเจ็บ
  • แผลฟกช้ำที่ไม่หายภายใน 3-4 สัปดาห์ หรือขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดแผลฟกช้ำบ่อย ๆ

  1. ระมัดระวังขณะเดินหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยง
    ถ้าอยู่ในพื้นที่ลื่น เช่น ห้องน้ำ หรือบริเวณที่มีสิ่งกีดขวาง ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
  2. เสริมความแข็งแรงของหลอดเลือดด้วยอาหารที่มีวิตามินซีและเค
    วิตามินซีช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง ส่วนวิตามินเคช่วยให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น อาหารที่มีประโยชน์ได้แก่ ส้ม ฝรั่ง บรอกโคลี และผักใบเขียว
  3. ออกกำลังกายเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
    การออกกำลังกายช่วยลดโอกาสบาดเจ็บจากการล้ม หรือการกระแทก เพราะกล้ามเนื้อที่แข็งแรงช่วยรองรับแรงกระแทกได้ดีขึ้น
  4. ใช้เกราะป้องกันถ้าต้องทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยง
    หากต้องเล่นกีฬาที่มีโอกาสกระแทก เช่น ฟุตบอล หรือจักรยาน ควรสวมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น สนับเข่า หรือสนับศอก

แผลฟกช้ำเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ถ้าดูแลให้ถูกต้อง ก็จะช่วยให้หายเร็ว ลดอาการปวด และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจตามมา การมีความรู้เกี่ยวกับการดูแลแผลฟกช้ำจะช่วยให้รับมือกับอุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจ

ไม่ใช่แค่การเล่นกีฬาหรืออุบัติเหตุรุนแรงเท่านั้นที่ทำให้เกิดแผลฟกช้ำได้ การเดินชนขอบโต๊ะ หกล้มบนพื้นลื่น หรือแม้แต่โดนประตูหนีบ ก็ทำให้เกิดรอยฟกช้ำได้ บางกรณีอาจมีผลกระทบมากกว่าที่คิด เช่น เส้นเลือดอักเสบหรืออาการปวดเรื้อรัง การมีประกันอุบัติเหตุจาก insurverse ทำให้คุณได้รับการดูแลทางการแพทย์ได้อย่างทันท่วงทีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย

5 คำถามที่พบบ่อย 

ทำไมบางคนเป็นแผลฟกช้ำง่ายกว่าคนอื่น?

บางคนมีแนวโน้มเป็นแผลฟกช้ำง่ายเนื่องจากเส้นเลือดฝอยเปราะบาง ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี หรือมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ นอกจากนี้ ยาบางชนิด เช่น แอสไพริน หรือยาละลายลิ่มเลือด อาจทำให้เกิดรอยช้ำง่ายขึ้น

แผลฟกช้ำเกิดจากโรคอะไรได้บ้าง?

แผลฟกช้ำที่เกิดขึ้นโดยไม่มีแรงกระแทก อาจเป็นสัญญาณของโรคเลือด เช่น ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ฮีโมฟีเลีย หรือโรคตับที่ทำให้การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ

นวดแผลฟกช้ำช่วยให้หายเร็วขึ้นจริงหรือไม่?

การนวดแผลฟกช้ำแรง ๆ อาจทำให้เลือดออกเพิ่มขึ้นและแผลหายช้าลง ควรใช้วิธีนวดเบา ๆ รอบแผลเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด แทนการกดโดยตรงที่จุดฟกช้ำ

แผลฟกช้ำที่เกิดขึ้นบ่อยผิดปกติเป็นอันตรายไหม?

หากพบว่าเกิดรอยช้ำบ่อย ๆ และไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน อาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติของระบบเลือด เช่น โรคเกี่ยวกับเกล็ดเลือด หรือภาวะขาดวิตามิน K ซึ่งมีผลต่อกระบวนการแข็งตัวของเลือด

ทำไมแผลฟกช้ำถึงมีสีเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ?

สีของแผลฟกช้ำเปลี่ยนไปตามกระบวนการสลายตัวของเซลล์เม็ดเลือดแดง เริ่มจากสีม่วงแดงเมื่อเลือดเพิ่งออกจากเส้นเลือด เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินหรือม่วงเข้ม จากนั้นกลายเป็นสีเขียว และสุดท้ายจะจางลงเป็นสีเหลืองก่อนหายสนิท

check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย