vertical_align_top
keyboard_arrow_leftย้อนกลับ

ปรับโครงสร้างหนี้ เสียประวัติไหม? ไขข้อสงสัยเรื่องเครดิตบูโร

schedule
share

เคยรู้สึกไหมว่าการเป็นหนี้เหมือนอยู่ในสนามวิ่งมาราธอน แต่ระยะทางดูไม่มีที่สิ้นสุด วิ่งไปเหงื่อก็ไหล แถมเส้นชัยยังดูไกลเกินตาเห็น การปรับโครงสร้างหนี้อาจเป็นตัวช่วยที่หลายคนมองหา แต่ก็มีคำถามติดหัวว่า “แบบนี้ประวัติเสียไหม?” ถ้าคำถามนี้ทำให้คิดวนไปวนมา ไม่ต้องห่วง บทความนี้จะช่วยคลายข้อสงสัย พร้อมพาคุณสำรวจทุกวิธีที่ช่วยปลดล็อกชีวิตจากภาระหนัก ๆ แบบเข้าใจง่ายสุด ๆ

(https://www.picpedia.org/financial-11/p/personal-loan.html)

ปรับโครงสร้างหนี้คืออะไร?

การปรับโครงสร้างหนี้ง่าย ๆ ก็คือการเจรจาขอเปลี่ยนเงื่อนไขในการชำระหนี้กับเจ้าหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้สามารถจ่ายหนี้ได้แบบไม่ลำบากจนเกินไป เหมาะกับคนที่เจอสถานการณ์การเงินติดขัด เช่น รายได้ลดลง รายจ่ายเพิ่มขึ้น หรือมีเหตุฉุกเฉินที่ทำให้ชำระหนี้ไม่ไหว

วิธีการที่ธนาคารหรือเจ้าหนี้มักเสนอ ได้แก่ การลดดอกเบี้ย การยืดระยะเวลาชำระ หรือการพักชำระเงินต้นเพื่อช่วยลดภาระในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้หลายคนสงสัยว่า ถ้าปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้วจะเสียประวัติหรือเปล่า คำตอบคือ มีผลต่อประวัติการเงินแน่นอน เพราะมันสะท้อนถึงความสามารถในการชำระหนี้ของเรา

เช่นเดียวกับการมีประกันรถยนต์ที่คุ้มครองในยามฉุกเฉิน การปรับโครงสร้างหนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือช่วยให้คุณรับมือกับปัญหาทางการเงินได้ หากจัดการอย่างเหมาะสม ชีวิตก็กลับมาราบรื่นได้เหมือนการขับรถบนถนนโล่ง ๆ หลังเคลียร์ทุกปัญหาแล้ว

วิธีปรับโครงสร้างหนี้แบบที่หลายคนใช้

ถ้าเริ่มรู้สึกว่า “รายจ่ายเยอะ รายได้ไม่พอ” การปรับโครงสร้างหนี้อาจเป็นทางออกที่ช่วยให้คุณหายใจโล่งขึ้นได้ และนี่คือวิธีที่หลายคนเลือกใช้ พร้อมคำอธิบายแบบเข้าใจง่าย ใครอยากลดภาระ ลองดูวิธีเหล่านี้

1. เปลี่ยนประเภทหนี้

นี่คือการเปลี่ยนจากหนี้ดอกเบี้ยสูงไปหนี้ดอกเบี้ยต่ำ ฟังดูซับซ้อนใช่ไหม แต่จริง ๆ แล้วเข้าใจง่ายมาก เช่น หนี้บัตรเครดิตที่ดอกเบี้ยพุ่งกระฉูดถึง 16% ต่อปี ถ้าค้างชำระไว้ก็เหมือนเปิดประตูรับดอกเบี้ยที่ไหลมาแบบไม่เกรงใจ วิธีแก้คือขอเปลี่ยนมาเป็น “สินเชื่อระยะยาว” หรือ term loan ที่มีดอกเบี้ยถูกกว่า

ข้อดี คือ คุณจะได้ผ่อนจ่ายในจำนวนที่แน่นอนทุกเดือน มีระยะเวลาเป็นเส้นตายชัดเจน ไม่ต้องจ่ายแบบไร้จุดจบ แต่ต้องบอกเลยว่า ยอดจ่ายรายเดือนขึ้นอยู่กับยอดหนี้ที่คุณมีและระยะเวลาผ่อนที่เลือก ใครที่ยังพอจ่ายไหว แต่อยากลดภาระดอกเบี้ย วิธีนี้ตอบโจทย์เลย

ตัวอย่าง
สมมติคุณมีหนี้บัตรเครดิต 50,000 บาท ผ่อนจ่ายเดือนละ 5,000 บาท ดอกเบี้ยปีละ 16% (เดือนนึงจ่ายไปแต่ดอกก็ปาไปหลายพัน!) ถ้าปรับมาเป็นสินเชื่อ term loan อาจลดดอกเบี้ยเหลือ 8% แล้วผ่อนเดือนละ 3,000 บาทแทน แบบนี้จะเบาขึ้นเยอะ

เหมือนกับการเลือกประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ให้ความคุ้มครองครบทุกมิติ การเปลี่ยนประเภทหนี้จากดอกเบี้ยสูงเป็นดอกเบี้ยต่ำ ก็ช่วยลดภาระทางการเงินและเพิ่มความสบายใจให้กับคุณ เหมือนรู้ว่ารถของคุณปลอดภัยไม่ว่าเจออะไรก็ตาม

2. รีไฟแนนซ์ (Refinance)

สำหรับสายคำนวณและรักดอกเบี้ยต่ำ นี่คือการปิดหนี้เดิมเพื่อไปกู้หนี้ใหม่กับเจ้าหนี้ที่ให้อัตราดอกเบี้ยดีกว่า ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น หนี้บ้านที่ผ่อนมาหลายปี อัตราดอกเบี้ยเริ่มไม่คุ้มแล้ว ก็สามารถขอรีไฟแนนซ์กับธนาคารใหม่เพื่อลดดอกเบี้ยและลดค่างวดต่อเดือน

ข้อดี ของรีไฟแนนซ์คือช่วยลดดอกเบี้ยระยะยาว ทำให้การผ่อนหนี้แต่ละเดือนเบาลง หรือหากอยากโปะหนี้ไวขึ้น ก็สามารถรีไฟแนนซ์เพื่อให้ผ่อนหมดเร็วกว่าเดิม

จุดที่ต้องระวัง
รีไฟแนนซ์ไม่ใช่ฟรีเสมอไป เพราะอาจมีค่าธรรมเนียม เช่น ค่าจดจำนองใหม่ ค่าธรรมเนียมการประเมินทรัพย์สิน หรือค่าปิดบัญชีหนี้เก่า ต้องคำนวณให้ดีว่าคุ้มจริงไหม

ตัวอย่าง
คุณมีหนี้บ้าน 2 ล้านบาท ดอกเบี้ย 5% ต่อปี รีไฟแนนซ์ไปเจ้าใหม่ที่ให้ดอกเบี้ย 3% ต่อปี คุณจะประหยัดเงินดอกเบี้ยไปได้หลักแสนในระยะยาว

พรบรถยนต์

3. ลดดอกเบี้ยชั่วคราว

วิธีนี้เหมาะกับคนที่เจอสถานการณ์รายได้ลดแบบไม่ทันตั้งตัว เช่น โควิดมา งานหาย รายได้หด การขอลดดอกเบี้ยชั่วคราวช่วยให้การเงินของคุณปรับตัวทัน อาจจะขอลดดอกเบี้ยลงเหลือครึ่งหนึ่งในช่วง 3-6 เดือน

ข้อดี ของวิธีนี้คือภาระหนี้ลดลงในช่วงเวลาสั้น ๆ เหมาะกับคนที่มั่นใจว่าอนาคตจะกลับมามีรายได้เหมือนเดิม เช่น หลังจากเปลี่ยนงานใหม่ หรือได้เงินก้อนใหญ่
ลองคุยกับธนาคารหรือเจ้าหนี้ตรง ๆ ว่าคุณมีแผนการชำระเงินที่ชัดเจน แต่แค่ช่วงนี้ไม่ไหวจริง ๆ หลายที่เข้าใจและพร้อมช่วยเหลือ

4. พักชำระเงินต้น

บางครั้งการจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยพร้อมกันอาจหนักเกินไป วิธีนี้ช่วยให้คุณจ่ายแค่ดอกเบี้ยในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น 3-6 เดือน ส่วนเงินต้นยังอยู่เหมือนเดิม

ตัวอย่างง่าย ๆ
หนี้สินเชื่อ 100,000 บาท ดอกเบี้ย 5% ต่อปี ถ้าคุณต้องจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เดือนละ 5,000 บาท พอพักชำระเงินต้น คุณจะจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยแค่เดือนละ 400-500 บาทแทน

วิธีนี้เหมาะกับคนที่รายรับสะดุดชั่วคราว แต่ยังมั่นใจว่าจะกลับมาจ่ายได้ตามปกติในอนาคต

5. ขยายเวลาชำระหนี้

การขอเพิ่มระยะเวลาผ่อนชำระช่วยให้ยอดที่ต้องจ่ายต่อเดือนลดลง เช่น จาก 3 ปี เป็น 5 ปี หรือมากกว่านั้น

ข้อดี คือค่างวดเบาขึ้นทันที แต่ข้อเสียคือดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งหมดจะเพิ่มขึ้น เพราะระยะเวลาในการผ่อนยาวกว่าเดิม

ตัวอย่าง
คุณมีหนี้ 100,000 บาท ดอกเบี้ย 5% ต่อปี ถ้าผ่อนใน 3 ปี คุณอาจต้องจ่ายดอกเบี้ยรวม 7,500 บาท แต่ถ้าขยายเป็น 5 ปี ดอกเบี้ยอาจเพิ่มเป็น 12,500 บาท เพราะฉะนั้น ต้องคำนวณให้ดีว่าคุ้มกับภาระที่ลดลงไหม

ปรับโครงสร้างหนี้แล้ว เสียประวัติไหม?

เสียแน่นอน เพราะธนาคารมองว่าการปรับโครงสร้างหนี้เกิดขึ้นเมื่อเราไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม การเสียประวัตินี้ไม่ได้หมายความว่าชีวิตการเงินของคุณจะจบสิ้น ถ้าคุณชำระหนี้ตรงตามเงื่อนไขใหม่ ประวัติเสียนี้สามารถฟื้นตัวได้ในเวลาไม่นาน

ทำบัตรเครดิตได้ไหมถ้าเคยปรับโครงสร้างหนี้?

ยังทำได้! แต่ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของผู้สมัคร เช่น รายได้ประจำ ความสามารถในการชำระหนี้ และประวัติในเครดิตบูโร ธนาคารจะพิจารณาความมั่นคงทางการเงินของคุณปัจจุบันเป็นหลัก ดังนั้น ถ้าเคลียร์หนี้เก่าเรียบร้อยและรายได้มั่นคง โอกาสได้บัตรเครดิตก็ยังมีอยู่

วิธีรักษาประวัติการเงินให้ดูดี

  1. จ่ายตรงเวลา อย่าผิดนัดชำระหนี้ ไม่ว่าจะเป็นค่างวดเล็กหรือใหญ่
  2. ลดหนี้ดอกเบี้ยสูง รีบโปะหนี้ที่ดอกเบี้ยแพงก่อน เช่น บัตรเครดิต
  3. จัดการรายรับ-รายจ่าย วางแผนการใช้เงินรายเดือนให้เหมาะสม
  4. เช็คเครดิตบูโรเป็นประจำ เพื่อดูว่าประวัติการเงินของคุณเป็นอย่างไร

ควรปรับโครงสร้างหนี้เมื่อไหร่?

ถ้าคุณเริ่มรู้สึกว่าเงินไม่พอจ่ายหนี้ หรือหมุนเงินไม่ทันในแต่ละเดือน นั่นคือสัญญาณว่าควรเริ่มปรับโครงสร้างหนี้ การรีบติดต่อธนาคารเพื่อเจรจาเรื่องนี้จะช่วยลดผลกระทบต่อประวัติการเงินในระยะยาว

เทคนิคจัดการหนี้แบบมือโปร

  • แยกเงินส่วนที่ต้องจ่ายหนี้ออกก่อน
  • ใช้แอปช่วยวางแผนรายรับ-รายจ่าย
  • ถ้าต้องจ่ายหนี้หลายเจ้า ให้เริ่มโปะหนี้ที่ดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน

สถานะเครดิตบูโรที่ควรรู้

  • สถานะ 010 หรือ 10: ปกติ ไม่มีหนี้ค้าง
  • สถานะ 011 หรือ 11: เคยค้างชำระ แต่ตอนนี้ชำระครบแล้ว
  • สถานะ 013 หรือ 13: ขึ้นกับนโยบายพักหนี้ของรัฐ
  • สถานะ 033 หรือ 33: หนี้ถูกตัดเป็นสูญ

การเข้าใจสถานะเหล่านี้จะช่วยให้คุณวางแผนการเงินและรู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์แบบไหน

สิ่งที่ต้องระวังก่อนปรับโครงสร้างหนี้

  1. สถานะเครดิตบูโรเปลี่ยนทันที
    หลังจากปรับโครงสร้างหนี้ เครดิตบูโรจะอัปเดตสถานะเป็น “ปรับโครงสร้างหนี้” หรือ “ชำระหนี้ไม่ปกติ” ซึ่งแม้จะไม่ใช่สถานะที่แย่เท่าค้างชำระ แต่ถือว่าไม่ใช่สถานะปกติ หากวางแผนจะกู้เงินหรือสมัครบัตรเครดิตในอนาคต อาจต้องเจอกับข้อจำกัดในการพิจารณาสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
  2. ดอกเบี้ยที่สะสมเพิ่มขึ้นแบบเนียน ๆ
    การยืดระยะเวลาผ่อนอาจทำให้ค่างวดลดลง แต่ดอกเบี้ยสะสมจากยอดหนี้เดิมจะเพิ่มขึ้นแบบที่คุณอาจไม่ได้คาดคิด ยกตัวอย่างเช่น การเพิ่มเวลาผ่อนจาก 3 ปี เป็น 5 ปี อาจทำให้ดอกเบี้ยสะสมเพิ่มขึ้นถึงหลายหมื่นบาท คำนวณให้ดีก่อนตกลง
  3. ค่าธรรมเนียมแฝงต้องตรวจให้ละเอียด
    บางสถาบันการเงินอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าธรรมเนียมในการปรับโครงสร้างหนี้ ค่าออกเอกสารใหม่ หรือค่าบริการพิเศษต่าง ๆ ซึ่งมักไม่ได้แจ้งชัดในตอนเริ่มต้น ถามรายละเอียดเหล่านี้จากเจ้าหน้าที่ให้ครบ
  4. ข้อกำหนดในการชำระหนี้ใหม่อาจเข้มงวดขึ้น
    การปรับโครงสร้างหนี้มักมาพร้อมข้อกำหนดใหม่ เช่น การห้ามผิดนัดชำระแม้แต่ครั้งเดียว การกำหนดดอกเบี้ยสูงขึ้นในกรณีผิดสัญญา หรือการยึดหลักประกันทันทีหากเกิดความล่าช้า ต้องอ่านรายละเอียดในสัญญาให้เข้าใจ
  5. ระวังตกลงเงื่อนไขที่ไม่เหมาะกับสถานการณ์จริง
    เช่น คุณขอพักชำระเงินต้นเป็นเวลา 6 เดือน แต่ไม่ได้พิจารณาว่าหลังครบกำหนดพักชำระ คุณจะสามารถจ่ายเงินก้อนที่ใหญ่ขึ้นได้หรือไม่ เพราะเงินต้นและดอกเบี้ยที่ค้างจะถูกนำมาคิดรวมเป็นงวดใหม่
  6. การปรับโครงสร้างหนี้ไม่ได้แก้ปัญหาหนี้ทั้งหมด
    อย่าคิดว่าปรับโครงสร้างหนี้แล้วปัญหาจะจบ บางครั้งหนี้สินจากเจ้าหนี้รายอื่นที่คุณมีอยู่ยังคงต้องชำระต่อไป ถ้ารายได้ไม่พอหรือไม่มีแผนการบริหารรายจ่ายให้ชัดเจน คุณอาจกลับมาประสบปัญหาเดิมอีกครั้ง
  7. อย่าลืมพิจารณาทางเลือกอื่น
    ในบางกรณี การรีไฟแนนซ์อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการปรับโครงสร้างหนี้ เช่น การย้ายไปเจ้าหนี้ใหม่ที่เสนออัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า หรือการรวมยอดหนี้จากหลายแหล่งเป็นหนี้ก้อนเดียวเพื่อให้จัดการง่ายขึ้น
  8. เอกสารไม่ครบ อาจทำให้กระบวนการล่าช้า
    เอกสารสำคัญ เช่น รายการเดินบัญชี ใบแจ้งหนี้เดิม และเอกสารส่วนตัวอื่น ๆ ต้องเตรียมให้ครบ การล่าช้าหรือขาดเอกสารบางรายการ อาจทำให้กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ยืดเยื้อ
  9. อย่าเพิกเฉยต่อประกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
    หากหนี้ที่คุณปรับโครงสร้างมีความเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ เช่น บ้านหรือรถยนต์ ควรเช็กว่ามีการต่อประกันที่ครอบคลุมหนี้หรือไม่ เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
  10. ถามเงื่อนไขสำหรับการชำระหนี้ก่อนครบกำหนด
    บางสัญญาการปรับโครงสร้างหนี้จะกำหนดค่าปรับสำหรับการชำระหนี้ล่วงหน้า หากคุณคิดจะปิดหนี้ก่อนเวลา ควรสอบถามและพิจารณาเงื่อนไขส่วนนี้ให้ดี

สิ่งที่ควรทำคือ คุยกับเจ้าหน้าที่ธนาคารอย่างละเอียด เช็กทุกเงื่อนไข และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินก่อนลงมือเซ็นอะไรทุกครั้ง เพราะหนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ และการตัดสินใจที่ดีจะช่วยให้คุณแก้ปัญหาได้แบบยั่งยืน!

ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการปรับโครงสร้างหนี้?

  1. คนที่ยังหมุนเงินไหวอยู่
    ถ้าการชำระหนี้ตอนนี้ยังไม่ได้ทำให้คุณหายใจไม่ทั่วท้อง หรือรายได้ยังครอบคลุมหนี้ที่ต้องจ่าย การปรับโครงสร้างหนี้อาจไม่ใช่ทางออกที่เหมาะ เพราะมันจะทำให้คุณเสียประวัติทางการเงินโดยไม่จำเป็น ลองจัดการการเงินให้เป๊ะขึ้นก่อน เช่น ลดรายจ่ายฟุ่มเฟือยหรือหาโอกาสเพิ่มรายได้
  2. คนที่มีเป้าหมายขอกู้ใหม่ในอนาคตอันใกล้
    สำหรับใครที่แพลนจะขอกู้ซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือทำธุรกรรมสินเชื่อในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า การปรับโครงสร้างหนี้อาจทำให้คุณติดเครดิตบูโรสถานะไม่สวย ทำให้การขอสินเชื่อใหม่ยุ่งยากขึ้น ลองพยายามชำระหนี้ให้ตรงเวลาแทนการปรับโครงสร้างหนี้ อาจจะดีกว่า
  3. คนที่มีหนี้ดอกเบี้ยต่ำอยู่แล้ว
    ถ้าหนี้ปัจจุบันของคุณมีอัตราดอกเบี้ยต่ำ เช่น หนี้บ้าน หรือหนี้ที่มีเงื่อนไขดีอยู่แล้ว การปรับโครงสร้างหนี้อาจเพิ่มดอกเบี้ยสะสมในระยะยาว ลองพิจารณาว่าการลดค่าใช้จ่ายรายเดือนหรือจัดการการเงินให้ดีขึ้นเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่าไหม
  4. คนที่มีวินัยการเงินไม่ดี
    ถ้าคุณยังไม่สามารถควบคุมการใช้จ่ายตัวเองได้ เช่น มีนิสัยช้อปปิ้งกระจาย ซื้อของที่ไม่ได้จำเป็น หรือจ่ายบิลล่าช้าแม้รายได้จะครอบคลุมอยู่ การปรับโครงสร้างหนี้อาจไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นในระยะยาว เพราะคุณอาจสะสมหนี้ใหม่มาเพิ่มอีก
  5. คนที่ไม่ได้ศึกษาเงื่อนไขให้ละเอียด
    หากคุณไม่ได้ทำการบ้านมากพอเกี่ยวกับผลกระทบของการปรับโครงสร้างหนี้ เช่น การเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมแฝงที่อาจตามมา การตัดสินใจปรับโครงสร้างหนี้โดยไม่รู้รายละเอียดชัดเจน อาจทำให้คุณเผชิญปัญหาหนี้ที่หนักกว่าเดิม
  6. คนที่ยังมีทางเลือกอื่นในการแก้หนี้
    การปรับโครงสร้างหนี้ควรเป็นทางเลือกสุดท้าย ถ้าคุณยังมีโอกาสรีไฟแนนซ์กับเจ้าหนี้ใหม่ที่ดอกเบี้ยต่ำกว่า หรือเจรจาลดดอกเบี้ยกับเจ้าหนี้เดิมได้ ลองสำรวจตัวเลือกเหล่านี้ก่อน
  7. คนที่รายได้ไม่มีแนวโน้มลดลง
    สำหรับคนที่ยังมีรายได้มั่นคงและไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ตกงานหรือรายได้หาย การปรับโครงสร้างหนี้อาจไม่จำเป็น เพราะคุณอาจจ่ายหนี้ก้อนเดิมได้โดยไม่ต้องเพิ่มภาระดอกเบี้ยในระยะยาว
  8. คนที่ไม่ได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ
    ถ้าคุณไม่ได้พูดคุยกับที่ปรึกษาการเงินหรือเจ้าหน้าที่ธนาคารก่อนตัดสินใจ คุณอาจพลาดรายละเอียดสำคัญ เช่น ข้อกำหนดการชำระคืนที่เปลี่ยนแปลง หรือผลกระทบต่อสถานะเครดิตบูโร
  9. คนที่ไม่มีแผนการเงินชัดเจน
    ถ้าคุณปรับโครงสร้างหนี้แล้ว แต่ไม่ได้มีแผนจัดการรายรับรายจ่ายให้รัดกุมในอนาคต การปรับหนี้จะกลายเป็นแค่การเลื่อนปัญหา ไม่ใช่การแก้ปัญหา
  10. คนที่ต้องการลดภาระในระยะสั้นเท่านั้น
    การปรับโครงสร้างหนี้อาจช่วยลดค่างวดในช่วงต้น แต่ถ้าคุณไม่ได้พิจารณาผลกระทบระยะยาว เช่น การเพิ่มดอกเบี้ยสะสม การตัดสินใจนี้อาจทำให้คุณจ่ายเงินมากขึ้นในภาพรวม

สรุป

เรื่องหนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่แก้ไม่ได้ การปรับโครงสร้างหนี้เป็นแค่หนึ่งในตัวเลือกที่ช่วยให้คุณกลับมาคุมชีวิตตัวเองอีกครั้ง แต่จะใช้วิธีไหน หรือเดินเกมยังไงให้ได้ประโยชน์สุด ต้องเริ่มจากการเข้าใจสถานการณ์ของตัวเองก่อน พร้อมวางแผนอย่างรอบคอบ และที่สำคัญ อย่าลืมว่าประวัติทางการเงินที่ดีคือกุญแจสำคัญสำหรับอนาคต ถึงแม้วันนี้คุณอาจต้องปรับตัว แต่วันหน้าคุณก็จะวิ่งผ่านเส้นชัยได้แบบสบาย ๆ แน่นอน

รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างหนี้

check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย