vertical_align_top
keyboard_arrow_leftย้อนกลับ
วิธีคำนวณ BMI

วิธีคำนวณ BMI ง่ายๆ เช็กสุขภาพของคุณในไม่กี่นาที

schedule
share

เคยสงสัยกันไหมว่าน้ำหนักกับส่วนสูงของเราตอนนี้สมดุลกันแค่ไหน หรือจริง ๆ แล้วเรากำลังอยู่ในเกณฑ์สุขภาพที่ดีหรือยัง BMI หรือดัชนีมวลกาย คือวิธีที่ใช้ประเมินว่าเรามีน้ำหนักตัวเหมาะสมกับส่วนสูงหรือไม่ เป็นค่าที่คำนวณได้ง่ายและเป็นที่นิยมใช้กันทั่วโลก โดยเฉพาะในสายสุขภาพและฟิตเนส ค่านี้ช่วยให้เรารู้ว่าควรลดน้ำหนักหรือเพิ่มน้ำหนัก และสำคัญที่สุดคือช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังที่อาจเกิดจากน้ำหนักที่เกินหรือขาดเกณฑ์

วิธีคำนวณ BMI แบบง่ายๆ

ไม่ต้องคิดเยอะ ไม่ต้องใช้เครื่องคิดเลขซับซ้อน วิธีคำนวณ BMI คือการนำ น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วย ส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง สูตรก็คือ:

BMI = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) / (ส่วนสูง (เมตร) × ส่วนสูง (เมตร))

ตัวอย่างง่ายๆ ถ้าคุณมีน้ำหนัก 60 กิโลกรัม และสูง 1.65 เมตร สูตรจะเป็นแบบนี้:

BMI = 60 / (1.65 × 1.65)

ผลลัพธ์คือประมาณ 22 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ปกติ

BMI ที่เหมาะสมสำหรับชายและหญิง

ค่า BMI ที่เหมาะสมอาจต่างกันเล็กน้อยในแต่ละเพศ โดยทั่วไปค่า BMI แบ่งออกเป็น 4 ระดับหลัก:

  • น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์: BMI น้อยกว่า 18.5
  • น้ำหนักปกติ: BMI อยู่ระหว่าง 18.5 – 24.9
  • น้ำหนักเกิน: BMI อยู่ระหว่าง 25 – 29.9
  • อ้วน: BMI มากกว่า 30

สำหรับผู้ชาย ค่า BMI ในช่วง 20-25 มักเป็นเกณฑ์ที่แนะนำเพราะสัมพันธ์กับมวลกล้ามเนื้อ ส่วนผู้หญิง ค่า BMI ในช่วง 18.5-24 มักเหมาะสมเนื่องจากสรีระและการสะสมไขมันที่ต่างกัน

ทำยังไงให้อยู่ในเกณฑ์ BMI ที่ดี

  1. เริ่มต้นจากการปรับการกิน การเลือกกินอาหารมีผลมากกับค่า BMI ลองเน้นอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ขาว เต้าหู้ หรือปลา และลดอาหารที่มีไขมันทรานส์และน้ำตาลเยอะ เช่น ขนมหวานและของทอด หากอยากกินขนมก็เลือกแบบแคลอรีต่ำ หรือผลไม้สดแทน
  2. อย่าลืมเรื่องการดื่มน้ำ น้ำเปล่าคือฮีโร่ของร่างกาย การดื่มน้ำอย่างเพียงพอช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้น และยังลดความอยากอาหารที่ไม่จำเป็นได้อีกด้วย
  3. การออกกำลังกายคือหัวใจสำคัญ ถ้าอยากรักษา BMI ให้อยู่ในเกณฑ์ การออกกำลังกายต้องมา ลองเริ่มจากกิจกรรมที่ง่ายและสนุก เช่น วิ่งจ็อกกิ้ง เต้นแอโรบิก หรือโยคะ เพื่อให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์

การดูแลสุขภาพผ่านการเลือกกินอาหารและการออกกำลังกายอาจไม่ได้ป้องกันอุบัติเหตุทั้งหมด เช่น การบาดเจ็บจากการเตรียมอาหารในครัว เช่น มีดบาด หรืออุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน การมี ประกันอุบัติเหตุ ออนไลน์ 100% เจ้าแรกจาก insurverse ช่วยให้คุณไม่ต้องกังวล เพราะทุกขั้นตอน ตั้งแต่ซื้อจนถึงเคลม ทำผ่านออนไลน์ได้หมด

ประกันอุบัติเหตุ

การออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับแต่ละ BMI

  1. BMI ต่ำกว่า 18.5: สำหรับกลุ่มนี้ ร่างกายต้องการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและน้ำหนัก ลองฝึกเวทเทรนนิ่งแบบเบา ๆ ก่อน เช่น การใช้ดัมเบลขนาดเล็กหรือยางยืดออกกำลังกาย เน้นการฝึกกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน เช่น แขน ขา หรือแกนกลางลำตัว และควรจับคู่กับการรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง แต่ต้องเป็นพลังงานคุณภาพ เช่น อะโวคาโด นมถั่วเหลือง หรือธัญพืชเต็มเมล็ด อย่าลืมว่าโปรตีนจากเนื้อสัตว์ไม่ติดมันและถั่วต่าง ๆ เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. BMI 18.5 – 24.9: นี่คือเกณฑ์ที่ถือว่าดีเยี่ยม แต่การรักษาสมดุลก็ยังเป็นเรื่องสำคัญ ควรออกกำลังกายที่หลากหลายเพื่อให้ร่างกายได้ใช้พลังงานอย่างสมดุล เช่น คาร์ดิโอเพื่อเผาผลาญไขมัน สลับกับเวทเทรนนิ่งที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง การเล่นโยคะหรือพิลาทิสก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการเพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย ลองกำหนดเป้าหมายง่าย ๆ เช่น การวิ่งบนลู่วิ่งวันละ 30 นาที หรือการเดินเร็วรอบสวนสาธารณะ
  3. BMI 25 – 29.9: สำหรับคนที่อยู่ในเกณฑ์น้ำหนักเกิน การออกกำลังกายแบบ Low Impact เป็นสิ่งที่แนะนำ เช่น การเดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน เพราะช่วยลดแรงกระแทกต่อข้อต่อและกล้ามเนื้อ เริ่มจากกิจกรรมที่คุณทำได้ต่อเนื่อง 20-30 นาทีต่อครั้ง และค่อย ๆ เพิ่มความเข้มข้นเมื่อร่างกายปรับตัวได้ นอกจากนี้ การฝึกเวทเทรนนิ่งเบา ๆ เช่น สควอตด้วยน้ำหนักตัว หรือแพลงก์ ก็ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเพิ่มการเผาผลาญได้เช่นกัน
  4. BMI มากกว่า 30: กลุ่มนี้ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ การเริ่มต้นควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น การเดินช้า ๆ หรือโยคะที่ช่วยลดความตึงเครียดของข้อต่อ เมื่อต่อเนื่องได้ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ลองเพิ่มความเข้มข้นด้วยการเดินเร็ว หรือปั่นจักรยานแบบอยู่กับที่ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกสูงในช่วงแรก เช่น การวิ่ง หรือกระโดด จนกว่าร่างกายจะเริ่มชินและแข็งแรงขึ้น สิ่งสำคัญคือต้องรักษาความสม่ำเสมอ และค่อย ๆ เพิ่มเวลาออกกำลังกายขึ้นเรื่อย ๆ

เคล็ดลับที่หลายคนมองข้าม

  • นอนหลับให้เพียงพอ: การนอนหลับส่งผลโดยตรงต่อระบบฮอร์โมนที่ควบคุมน้ำหนัก ถ้านอนไม่พอ ร่างกายจะหิวมากขึ้น
  • ลดความเครียด: ความเครียดทำให้เกิดพฤติกรรมกินอาหารแบบไม่ยั้ง ลองหาวิธีผ่อนคลาย เช่น ฟังเพลง ดูหนัง หรือเล่นกับสัตว์เลี้ยง
  • ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ก่อน: อย่ากดดันตัวเอง ลองตั้งเป้าหมายง่าย ๆ เช่น ออกกำลังกาย 3 วันต่อสัปดาห์ หรือกินผักให้ได้ทุกมื้อ

เช็ก BMI เป็นประจำ เพื่อดูพัฒนาการ

การเช็ก BMI อย่างน้อยเดือนละครั้งช่วยให้เรารู้ว่าสุขภาพของเราดีขึ้นหรือแย่ลง อย่าลืมว่าค่า BMI เป็นแค่ตัวชี้วัดเบื้องต้น แต่ไม่ได้บอกทั้งหมด เช่น มวลกล้ามเนื้อ หรือสุขภาพโดยรวม เพราะฉะนั้น ควรใช้ร่วมกับการสังเกตพฤติกรรมการกิน การออกกำลังกาย และความรู้สึกโดยรวมของร่างกาย

การติดตามค่า BMI เป็นประจำช่วยให้เรารู้สถานะสุขภาพตัวเอง แต่การมี ประกันอุบัติเหตุ insurverse เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเสริมความมั่นใจในการใช้ชีวิต เพราะในกรณีฉุกเฉิน เช่น บาดเจ็บจากการทำกิจกรรมประจำวัน คุณจะได้รับการดูแลทันที อย่าลืม เช็กเบี้ยประกันอุบัติเหตุ ภายในไม่ถึง 5 นาทีก็รู้เบี้ยก่อนซื้อ

5 คำถามที่พบบ่อย

BMI คืออะไร และทำไมถึงสำคัญต่อสุขภาพ?

BMI คือดัชนีมวลกายที่ใช้ประเมินว่าน้ำหนักตัวเหมาะสมกับส่วนสูงหรือไม่ ซึ่งช่วยชี้วัดความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ เช่น โรคอ้วนหรือโรคขาดสารอาหาร

วิธีคำนวณ BMI ต้องทำอย่างไร?

ใช้สูตร BMI = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) / (ส่วนสูง (เมตร) x ส่วนสูง (เมตร)) เพื่อหาเกณฑ์น้ำหนักที่เหมาะสม

ค่า BMI ที่เหมาะสมสำหรับชายและหญิงต่างกันอย่างไร?

ผู้ชายควรมี BMI ระหว่าง 20-25 เพื่อความสมดุลกับมวลกล้ามเนื้อ ส่วนผู้หญิงเหมาะสมที่ 18.5-24 เพราะมีการสะสมไขมันตามธรรมชาติของร่างกาย

การออกกำลังกายแบบไหนเหมาะกับ BMI แต่ละช่วง?

สำหรับ BMI ต่ำกว่า 18.5 ควรเน้นเวทเทรนนิ่งเพิ่มกล้ามเนื้อ, BMI 18.5-24.9 ออกกำลังกายหลากหลายเพื่อรักษาสมดุล, ส่วน BMI เกิน 25 ควรเริ่มด้วย Low Impact เช่น เดินเร็วหรือว่ายน้ำ

มีวิธีป้องกันไม่ให้ค่า BMI หลุดเกณฑ์หรือไม่?

การเลือกกินอาหารที่เหมาะสม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และพักผ่อนให้เพียงพอช่วยรักษาค่า BMI ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้

check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย