รู้ไหมว่านอกจากเรื่องสำคัญอย่างประกันรถยนต์แล้ว อีกสิ่งที่หลายคนมักมองข้ามไปก็คือเรื่องของยางรถยนต์ ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ยางเป็นตัวการสำคัญที่จะบอกว่ารถคุณจะวิ่งได้อย่างปลอดภัยแค่ไหน ดังนั้นก่อนที่จะสตาร์ทรถออกเดินทางในครั้งถัดไป ลองถามตัวเองก่อนดีไหมว่า ยางรถยนต์ควรเปลี่ยนทุกกี่ปี? และถ้าคุณคือคนที่รักความปลอดภัยบนท้องถนน การเลือกประกันที่ไว้ใจได้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งที่ insurverse เขาก็มีประกันออนไลน์ 100% เจ้าแรกที่ให้คุณปรับแผน DIY ได้เอง ไม่ต้องผ่านตัวแทน อยากคุ้มครองแบบไหนก็เลือกได้แบบถูกใจสุด ๆ เพราะถ้าเรื่องรถเรื่องยางคุณยังใส่ใจ แล้วจะไม่ให้ใส่ใจเรื่องประกันรถยนต์ที่ช่วยดูแลคุณไปด้วยได้ยังไง จริงไหม?
หลายคนคงเคยสงสัยกันว่าจริง ๆ แล้วยางรถยนต์ควรเปลี่ยนทุกกี่ปี? ถ้าตอบแบบชัดเจนสุด ๆ ตามที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำไว้ อายุการใช้งานเฉลี่ยของยางรถยนต์คือประมาณ 3-5 ปี แต่ที่หลายคนไม่ค่อยรู้คือ ตัวเลขนี้ยังไม่ฟันธง เพราะอายุยางรถยนต์จริง ๆ ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานและการดูแลด้วย เช่น การขับขี่ด้วยความเร็วสูงบ่อย ๆ อุณหภูมิพื้นถนนที่สูงหรือร้อนจัด และสภาพถนนที่วิ่งเป็นประจำ เช่น ถนนขรุขระ ถนนดิน ถนนลูกรัง พวกนี้ทำให้ยางหมดอายุเร็วกว่าปกติเยอะมาก
ความลับที่ต้องรู้เลยคือ ยางทุกเส้นจะมีวันที่ผลิตที่เรียกว่า DOT เป็นตัวเลขสี่หลักติดอยู่ที่แก้มยาง เช่น “1223” หมายถึงผลิตในสัปดาห์ที่ 12 ปี 2023 ซึ่งข้อมูลนี้ช่วยบอกได้ชัดเลยว่ายางของคุณเก่าขนาดไหนแล้ว ยิ่งยางที่ผลิตนานเกิน 5 ปี ถึงแม้ดูสภาพดีมาก ดอกหนา ไม่แตกลายงา แต่มันก็เสื่อมได้โดยไม่ต้องสงสัย
ปัญหายอดฮิตของคนใช้รถคือ เห็นดอกยางยังหนาอยู่ก็เสียดาย ไม่อยากเปลี่ยนใหม่ใช่ไหมล่ะ แต่สิ่งที่หลายคนยังไม่รู้ก็คือ ยางที่ใช้มานานกว่า 5 ปี มันจะเริ่มแข็งและสูญเสียความยืดหยุ่น ถึงแม้ดอกยางจะหนามากก็ตาม พอยางแข็งตัวแล้ว การยึดเกาะถนนจะลดลงทันที โดยเฉพาะเวลาฝนตกหรือถนนเปียก ทำให้มีโอกาสลื่นได้ง่ายมาก ๆ ดังนั้นคำถามที่ควรถามตัวเองก็คือ ยางรถยนต์ควรเปลี่ยนทุกกี่ปี ถึงจะปลอดภัย?
ถ้ายังไม่ชัวร์ว่าถึงเวลาเปลี่ยนหรือยัง ให้ลองเช็คจากความรู้สึกเวลาเบรก ถ้าเริ่มลื่นกว่าปกติหรือระยะเบรกยาวขึ้นแม้ขับไม่เร็ว แสดงว่ายางเริ่มแข็งและเสื่อมสภาพชัดเจนแล้ว
หลายคนรอจนยางแบนหรือเห็นดอกยางโล้นก่อนถึงจะเปลี่ยน แต่จริง ๆ แล้วยางมันจะบอกเราก่อนหน้าหลายเดือนด้วยสัญญาณเหล่านี้
ถ้ามีอาการแบบนี้บ่อย ๆ บอกเลยว่าถึงเวลาเปลี่ยนยางแล้ว เพราะอาการเหล่านี้แสดงว่ายางของคุณกำลังเสื่อมหนักเลยล่ะ นี่จึงเป็นอีกเหตุผลว่าทำไมควรรู้ว่ายางรถยนต์ควรเปลี่ยนทุกกี่ปี
อันนี้หลายคนไม่รู้มาก่อนเลยจริง ๆ ว่า แม้ยางจะถูกเก็บไว้อย่างดีในโกดัง หรือร้านค้า ไม่โดนใช้งานเลยก็ตาม แต่ถ้าเก็บเกิน 6 ปีขึ้นไป คุณภาพของยางก็เสื่อมลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะถ้ายางถูกเก็บในที่ร้อนหรือมีความชื้นสูง ยางจะค่อย ๆ แข็งตัวและสูญเสียคุณภาพได้เร็วมาก ยิ่งประเทศไทยบ้านเรามีอากาศร้อนชื้นแบบนี้ ยางที่เก็บไว้นานก็เสื่อมเร็วกว่าปกติ ดังนั้นอย่าลืมเช็กให้ชัดว่ายางรถยนต์ควรเปลี่ยนทุกกี่ปี แม้แต่ยางที่ยังไม่ได้ใช้งานเลยก็ตาม
ถ้าไปซื้อยางใหม่ที่ร้านแล้วเจอยางเก่าค้างสต็อกนานกว่า 3-4 ปี ให้รีบเปลี่ยนไปเลือกเส้นที่ผลิตใหม่กว่านั้นจะปลอดภัยกว่าเยอะ
ไม่ใช่แค่เปลี่ยนใหม่อย่างเดียว แต่การดูแลยางที่ใช้อยู่ให้ดีเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ เพราะมันช่วยยืดอายุให้ยางอยู่กับเราได้นานขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ การดูแลที่ดีจะช่วยให้เราสามารถตอบได้ง่ายขึ้นว่ายางรถยนต์ควรเปลี่ยนทุกกี่ปี ซึ่งเทคนิคที่คนรักรถนิยมใช้กันบ่อยที่สุดก็คือ
แค่ทำตามนี้ก็ช่วยเพิ่มอายุยางได้อีกหลายเดือนถึงเป็นปีเลยทีเดียว
ยางรถยนต์แต่ละประเภทมีอายุใช้งานแตกต่างกันไป แต่ยางที่ถูกยอมรับว่าทนทาน ใช้งานได้นานที่สุดคือยางประเภท Touring Tires หรือยางสำหรับการขับขี่ทั่วไปที่เน้นความนุ่มนวลและทนทานสูง ซึ่งมีโครงสร้างที่แข็งแรง ดอกยางหนา เนื้อยางมีความทนทานสูง จึงใช้งานได้นานกว่า 5 ปีสบาย ๆ ถ้าดูแลอย่างถูกต้อง
ตรงข้ามกับยางสมรรถนะสูงหรือยางสปอร์ตที่เนื้อยางจะนิ่มกว่า ดอกยางบางกว่า จึงให้การเกาะถนนที่ยอดเยี่ยมแต่ก็แลกมากับอายุใช้งานที่สั้นลงประมาณ 3-4 ปีเท่านั้น
เรื่องนี้หลายคนเข้าใจผิดว่าต้องเปลี่ยนยางทั้งชุดเสมอ แต่จริง ๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนพร้อมกันหมดก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพแต่ละเส้นมากกว่า หากยางเส้นใดเส้นหนึ่งเสียหายหนักหรือสึกผิดปกติ ก็เปลี่ยนแค่เส้นนั้นเพียงเส้นเดียวได้ โดยต้องเลือกยางรุ่นและขนาดเดียวกับเส้นเดิม แต่ถ้ารถของคุณเป็นแบบ AWD หรือขับเคลื่อน 4 ล้อ การเปลี่ยนยกชุดจะทำให้ระบบขับเคลื่อนทำงานได้เต็มที่และลดปัญหาสึกหรอไม่เท่ากันด้วย
หลังจากที่เข้าใจกันชัด ๆ แล้วว่ายางรถยนต์ควรเปลี่ยนทุกกี่ปี ก็อย่าลืมเช็กดูด้วยว่ายางรถคุณอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยหรือยัง เพราะสุดท้ายแล้วความปลอดภัยก็คือเรื่องที่คุณประมาทไม่ได้เลย และที่สำคัญ ถ้าคุณอยากมั่นใจทุกครั้งที่ขับรถ การเลือกประกันที่ตรงใจ ก็สำคัญไม่น้อยกว่าการเปลี่ยนยางให้ทันเวลา ซึ่งที่ insurverse เขาให้คุณเช็กเบี้ยประกันรถยนต์ได้ง่ายสุด ๆ ไม่ต้องคุยกับเจ้าหน้าที่ให้ยุ่งยาก แค่คลิกเดียวก็เห็นเบี้ยที่ต้องจ่ายทันที ซื้อประกันแบบออนไลน์ได้ด้วยตัวเองทุกขั้นตอน แถมยังมีใบเคลมอิเล็กทรอนิกส์ ส่งตรงถึงมือถือไม่ต้องกลัวหาย
ถึงจะจอดไว้เฉยๆ ไม่ค่อยได้ใช้งาน แต่ยางรถยนต์ก็เสื่อมได้ โดยเฉลี่ยแล้วควรเปลี่ยนยางทุก ๆ 5-6 ปี แม้รถจะวิ่งน้อยหรือแทบไม่ได้ขับเลย เพราะยางรถยนต์เมื่อไม่ได้ใช้งานนานๆ มักจะมีปัญหาเรื่องยางแข็งเสียรูป ส่งผลต่อการเกาะถนนอย่างมาก ยิ่งเก็บไว้นานมากกว่า 5 ปีขึ้นไปควรเปลี่ยนใหม่เลย เพื่อความปลอดภัยชัวร์ ๆ
สำหรับคนที่ใช้งานหนัก ขับรถไกลบ่อยๆ อายุการใช้งานของยางรถยนต์อาจจะสั้นลงกว่าปกติ แนะนำให้เปลี่ยนทุก ๆ 2-3 ปี หรือเมื่อใช้งานถึงระยะทางประมาณ 50,000 กิโลเมตร เพราะยิ่งใช้งานหนัก ยางยิ่งสึกหรอเร็ว ดอกยางอาจหมดไวและเสื่อมเร็วกว่าที่คาดไว้
ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้ขับรถไปไหนไกลๆ แต่การจอดรถไว้นิ่งๆ นานเกินไป ก็ทำให้ยางรถยนต์เสียรูปและแข็งตัวผิดปกติ ส่งผลให้คุณภาพยางลดลง ถึงแม้จะไม่หมดอายุทันทีแต่ควรตรวจเช็กยางทุกๆ 6 เดือนและควรเปลี่ยนภายใน 4-5 ปี เพื่อความปลอดภัยสูงสุดนั่นเอง
หลายคนมักลืมไปว่ายางอะไหล่ก็มีอายุเหมือนกัน โดยทั่วไปยางอะไหล่ที่ไม่ได้ใช้เลยก็ไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 7 ปี เพราะยางอะไหล่ที่เก็บนานเกินไปจะแข็งมากจนไม่สามารถใช้งานได้จริง ดังนั้นแนะนำให้เปลี่ยนยางอะไหล่ทุก 6-7 ปี เพื่อให้ใช้งานได้จริงในยามจำเป็น
การเติมลมยางรถยนต์ด้วยไนโตรเจนจะช่วยลดอัตราการสูญเสียแรงดันลมและทำให้ลมยางเสถียรมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ยางเสื่อมช้าลงได้บ้าง แต่ไม่ได้ยืดอายุยางอย่างชัดเจนขนาดเป็นปีๆ เพียงแต่ช่วยให้ยางมีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเติมลมปกติ ดังนั้นการเปลี่ยนยางตามอายุการใช้งานจริงก็ยังจำเป็นอยู่ดี
check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย
สถานการณ์ทางการเงินอาจเปลี่ยนไปได้เสมอ หลายคนที่เคยออกรถใหม่แต่ต้องมาเจอปัญหาผ่อนต่อไม่ไหวอาจกำลังหาทางออก หนึ่งในวิธีที่ช่วยได้คือการเปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อรถยนต์
เวลาพูดถึงการแต่งรถ ยังไงล้อแม็กก็คือหัวใจสำคัญที่สายซิ่งขาดไม่ได้ เพราะล้อแม็กไม่ได้มีไว้โชว์หล่ออย่างเดียว แต่มันส่งผลตั้งแต่เรื่องการขับขี่ การควบคุม ไปจนถึงความปลอดภัยเลยนะ
บูชคันเกียร์จริง ๆ แล้วก็คือปลอกยางเล็ก ๆ ที่ช่วยล็อกคันเกียร์ให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องเวลาที่เราเปลี่ยนเกียร์ ถ้าเจ้าบูชชิ้นนี้เสื่อมหรือแตก เราอาจเข้าเกียร์ได้ยาก คันเกียร์หลวมโยกไปมา หรือมีเสียงดังผิดปกติขณะขับขี่ อาการเหล่านี้ไม่เพียงน่ารำคาญ แต่ยังอาจส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับรถได้ด้วย