แม้ว่ารถยนต์ไฮบริด (Hybrid) จะถูกวางขายในตลาดไม่ต่ำกว่า 10 ปีแล้วก็ตาม แต่ความนิยมในการใช้งานจริง ๆ กลับเพิ่งเริ่มต้นในช่วง 2 – 3 ปีนี้เท่านั้น เพราะเมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาป และรถไฟฟ้าแบบ EV ก็ต้องบอกว่าเป็นว่าเป็นจุดกึ่งกลางที่ลงตัวของความประหยัด และการรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กัน ก่อนจะก้าวไปสู่พลังงานสะอาดอย่างเต็มตัว อย่างที่หลายประเทศให้การรณรงค์อยู่ แต่วันนี้ insurverse เราจะพาไปเจาะลึกกันว่า รถยนต์ไฮบริด คืออะไร และทำไมถึงน่าใช้งาน
รถยนต์ไฮบริด (Hybrid) คือ รถยนต์ที่ใช้พลังงานในการขับเคลื่อนจากน้ำมันเชื้อเพลิง และมอเตอร์ไฟฟ้า ผ่านการกักเก็บพลังงานไฟฟ้าจากการชะลอความเร็วรถ และการเหยียบเบรก ซึ่งจะถูกนำมาใช้ในการออกตัว หรือขับเคลื่อนในรอบความเร็วต่ำ โดยจะมีความแตกต่างในการทำงานตามประเภท และรุ่นของรถด้วยเช่นกัน ว่าเป็นแบบ Hyrid หรือ Plug-in Hybrid ที่ใช้ไฟฟ้าล้วนในการขับเคลื่อนได้
รถยนต์ไฮบริด มีแหล่งพลังงาน 2 ประเภท ก็คือ น้ำมันเชื้อเพลิง ที่เป็นเหมือนกับรถยนต์สันดาปทั่วไป และพลังงานไฟฟ้าที่เก็บไว้ในแบตเตอรี่ จากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ปั่นไฟเก็บไว้ในขณะขับ
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้กันแล้ว ผู้ใช้รถหลายคนอาจจะสงสัยว่า รถยนต์ไฮบริดมันมีข้อดี หรือข้อเสียอะไรที่ต้องรู้ไว้ จะได้เปรียบเทียบกันไปเลยว่าน่าใช้หรือเปล่า เรามาไล่ดูไปพร้อม ๆ กันดีกว่า
ในปัจจุบัน รถไฮบริดที่หลายคนชอบเรียกกัน จริง ๆ แล้วมีถึง 2 ประเภท ที่นิยมใช้งานในประเทศไทยปัจจุบัน ซึ่งก็คือ รถยนต์ไฮบริด และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งจะแตกต่างกัน ดังนี้
รถยนต์ไฮบริด หรือ HEV เป็นรถยนต์ที่ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาก่อน และเป็นต้นแบบของการนำพลังงานไฟฟ้าเข้าช่วยขับเคลื่อนในรอบความเร็วต่ำ หรือช่วงออกตัวเพียงเท่านั้น และไม่สามารถชาร์จไฟเข้าไปได้ จึงมีราคาค่าตัวที่ถูกกว่าแบบปลั๊กอินไฮบริด
รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด หรือ PHEV เป็นรถยนต์ไฮบริดรุ่นถัดมา ที่ถูกพัฒนาให้สามารถชาร์จไฟฟ้าเข้าไปได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งมอเตอร์ในการปั่นไฟเก็บไว้เท่านั้น และยังเปลี่ยนไปขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนได้ จึงได้รับความนิยมในช่วงหลังเป็นอย่างมาก
รถยนต์ไฮบริด จะมีมอเตอร์ที่ใช้ปั่นไฟกลับเข้าไปเก็บที่แบตเตอรี่ ในขณะที่ทำการชะลอรถ หรือเหยียบเบรก เพื่อนำไฟฟ้าที่เก็บไว้มาใช้ลดภาระเครื่องยนต์ตอนออกตัว หรือในช่วงรอบความเร็วต่ำ แต่ถ้าเป็นรถยนต์แบบปลั๊กอินไฮบริด จะสามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟเข้าไปใช้งานได้โดยตรงเลย โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มอเตอร์ปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ก็ได้ และสามารถเปลี่ยนไปขับด้วยระบบไฟฟ้าล้วนได้ ต่างจากรถยนต์ไฮบริดที่ทำไม่ได้ในจุดนี้
หากมีงบประมาณในระดับหนึ่ง การเลือกใช้งานรถยนต์ไฮบริด ก็จะตอบโจทย์ในด้านการประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่า แต่หากมีงบประมาณที่จำกัด รถยนต์สันดาปก็ยังเป็นทางเลือกที่ดีในการใช้งาน เพราะมีระดับราคาให้เลือกใช้งานที่หลากหลาย และยังมีค่าซ่อมบำรุงที่ไม่แพงมากนัก
รถยนต์ไฮบริด เหมาะสำหรับคนที่อยากประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง เพราะมีการคำนวณกันออกมาแล้ว โดยเฉลี่ยจะถูกกว่ารถยนต์สันดาปราว 30 – 40% อีกทั้งยังตอบโจทย์การขับใช้งานในเมืองได้ดีกว่า จากการเจอรถติดบ่อย ๆ ด้วยการดึงพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยออกตัว และที่สำคัญยังช่วยลดมลพิษได้อีกด้วย
หากเป็นรถยนต์ไฮบริด HEV จะไม่สามารถเสียบชาร์จแบตเตอรี่ได้ แต่หากเป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด PHEV จะสามารถเสียบชาร์จได้เหมือนกับรถไฟฟ้า EV ทั่วไป
ในปัจจุบัน ค่ายรถยนต์หลายแบรนด์มักจะรับประกันแบตเตอรี่รถยนต์ไฮบริดที่ 5 ปี หากมีปัญหาเกิดขึ้น จะสามารถเปลี่ยนได้ฟรี แต่หากเกินกว่านั้น ก็จำเป็นจะต้องออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด
เป็นอย่างไรกันบ้าง กับข้อมูลเรื่องรถยนต์ไฮบริดที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ หวังว่าผู้ใช้รถจะหายสงสัย และเลือกกันถูกแล้วนะ ว่าหากจะออกรถคันต่อไป จะเลือกใช้รถยนต์ประเภทไหนดี ส่วนใครที่กำลังมองหาประกันรถยนต์อยู่ แต่ยังไม่รู้จะทำกับที่ไหนดี เราขอแนะนำ ประกันรถยนต์ชั้น 1 จาก insurverse ที่สามารถเลือกปรับแต่งความคุ้มครองได้อย่างตอบโจทย์ ในราคาที่คุ้มค่ากว่าใคร เพราะเราคือประกันภัยรถยนต์ออนไลน์เจ้าแรกในไทย ภายใต้เครือทิพยประกันภัย
check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย
การทำประกันไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตหรือประกันวินาศภัย กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่หลายคนเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นในยุคนี้ บางคนมีประกันหลายฉบับ บางคนทำไว้หลายบริษัท พอทำประกันไว้หลายฉบับ หลายบริษัท หลายปีติด ๆ กัน แล้วเล่มหายหรือจำไม่ได้ว่าทำไว้กับใคร ปัญหาเริ่มมาแบบไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่ทุกวันนี้สามารถเช็คกรมธรรม์จากเลขบัตรประชาชนได้แล้ว ไม่ต้องไปขุดหาเอกสารเก่า ไม่ต้องโทรถามใครให้ยุ่ง
เวลาเกิดอุบัติเหตุแล้วบริษัทประกันของอีกฝ่ายโทรมาเรียกเก็บค่าซ่อม ใครไม่เคยเจอก็อาจจะคิดว่า “ก็แค่จ่ายไปสิ” แต่พอถึงเวลาจริง บางเคสค่าซ่อมอาจพุ่งไปถึงหลักแสนแบบไม่ทันตั้งตัว แถมบางคนไม่มีเงินก้อนพร้อมจ่ายทันที ก็เลยกลายเป็นคำถามยอดฮิตว่า ถ้าไม่มีเงินจ่าย ประกันเรียกค่าซ่อมแบบนี้ ผ่อนได้ไหม? แล้วจะคุยกับประกันยังไงให้ไม่โดนฟ้อง ต้องเตรียมตัวยังไงบ้างให้รอดจากสถานการณ์สุดเครียดนี้ทุกมุม มาหาคำตอบแบบไม่ต้องมโนกันในบทความนี้ดีกว่า การเลือกประกันรถยนต์ที่เข้าใจคนขับจริง ๆ เลยเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะ ประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ให้เลือกความคุ้มครองเองได้ตามงบอย่าง insurverse ที่ช่วยให้ไม่ต้องจ่ายเบี้ยเกินจำเป็น แถมยังซื้อตรงไม่ผ่านตัวแทน ถูกจริงตั้งแต่แรก ไม่มีเงินจ่ายค่าซ่อมในทันที ทำไงดี ถ้าบริษัทประกันเรียกเก็บค่าซ่อมจากคู่กรณีที่เป็นฝ่ายผิด แล้วคนคนนั้นไม่มีเงินจ่ายเต็มจำนวน ไม่ต้องรีบจ่ายทันทีแบบหน้ามืดตามัว เพราะสามารถขอเจรจากับบริษัทประกันได้ตรง ๆ ว่าจะขอผ่อนจ่ายเป็นงวดได้ไหม ซึ่งประกันหลายเจ้าก็พร้อมรับฟัง ถ้ามีเหตุผลและความจริงใจที่จะจ่ายจริง วิธีนี้เรียกว่า การประนอมหนี้ คล้าย ๆ กับการตกลงกันว่า จะผ่อนเท่าไหร่ กี่งวด แล้วต้องมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร หรือบันทึกไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกัน และป้องกันปัญหาในอนาคต แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท ประกันของตัวเองช่วยอะไรได้บ้าง ในบางเคส คนที่เป็นฝ่ายผิดก็ยังมีประกันรถยนต์ของตัวเองอยู่ แบบนี้สบายใจได้ในระดับนึง เพราะประกันของเราจะเข้ามาช่วยดูแลค่าซ่อมในส่วนที่ครอบคลุมไว้ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ แต่ต้องไม่ใช่เคสที่เข้าข่ายถูกตัดสิทธิ เช่น เมาแล้วขับ หรือใช้รถผิดประเภท… Continue reading ประกันเรียกเก็บค่าซ่อม ผ่อนได้ไหม? รู้ทันทุกขั้นตอนก่อนโดนฟ้อง คุยจบ เคลียร์ได้ ไม่ต้องหนี
กรมธรรม์ คือ เอกสารสัญญาสำคัญระหว่างผู้เอาประกันกับบริษัทประกันภัย โดยจะระบุความคุ้มครองที่จะได้รับเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และเงื่อนไขอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง