สนิมเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยสำหรับรถยนต์ ซึ่งทำให้เกิดการกัดกร่อนของพื้นผิวโลหะ สนิมไม่เพียงแต่ทำให้รถดูเก่าและผุพัง แต่ยังส่งผลกระทบต่อความแข็งแรงของโครงสร้างรถด้วย แต่ปัญหาสนิมในรถยนต์สามารถแก้ไขได้ด้วยการพ่นกันสนิม
การพ่นกันสนิมใต้ท้องรถคือการเคลือบสารป้องกันสนิมบนพื้นผิวใต้ท้องรถ เพื่อป้องกันการเกิดสนิมและการกัดกร่อนจากสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เช่น ความชื้น ฝน น้ำขัง และสารเคมีที่อาจสะสมอยู่ใต้ท้องรถ การพ่นกันสนิมเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยรักษาสภาพของโครงสร้างรถยนต์ให้แข็งแรงและยืดอายุการใช้งานของรถ
โดยทั่วไป การพ่นเพื่อกันสนิมจะใช้สารเคมีที่สามารถยึดเกาะกับโลหะได้ดีและทนทานต่อสภาพอากาศ ดังนั้นจึงเป็นการลงทุนที่ดีสำหรับการดูแลรักษารถ
ช่วยปกป้องโครงสร้างเหล็กและชิ้นส่วนใต้ท้องรถจากการกัดกร่อนที่เกิดจากความชื้นและสิ่งสกปรกจากถนน เช่น ฝุ่น ดิน และความเค็มจากเกลือในภูมิประเทศแถบชายทะเล การเคลือบสารกันสนิมจะช่วยลดโอกาสการเกิดสนิมที่ทำให้ชิ้นส่วนใต้ท้องรถเสื่อมสภาพ
ช่วยป้องกันชิ้นส่วนสำคัญใต้ท้องรถไม่ให้ผุกร่อน เช่น ท่อไอเสีย ช่วงล่าง และโครงสร้างตัวถัง ทำให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น
โดยปกติรถใหม่มักจะมีการเคลือบป้องกันสนิมจากโรงงานอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม การพ่นกันสนิมเพิ่มเติมจะช่วยเพิ่มความทนทานให้กับชิ้นส่วนใต้ท้องรถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีความชื้นสูงหรือมีการใช้รถบ่อยในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเกิดสนิม การพ่นกันสนิมช่วยเสริมความทนทานและลดการสึกกร่อนของชิ้นส่วนสำคัญใต้ท้องรถ
โดยทั่วไป หากรถของคุณเพิ่งซื้อมาใหม่ การพ่นกันสนิมอาจไม่จำเป็นในทันที แต่หากใช้ไปสักระยะ เช่น 1-2 ปี การพ่นน้ำยากันสนิมจะช่วยให้โครงสร้างใต้ท้องรถมีความทนทานยิ่งขึ้นอีก จะช่วยยืดอายุการใช้งานของรถในระยะยาว
โดยทั่วไป ราคาการพ่นกันสนิมจะอยู่ในช่วงประมาณ 1,500 – 5,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรุ่นรถยนต์และวัสดุที่ใช้เคลือบ เช่น สำหรับรถขนาดเล็กและรถยนต์นั่งส่วนบุคคลทั่วไป ราคาประมาณ 1,500 – 3,000 บาท ในขณะที่รถกระบะหรือรถขนาดใหญ่อาจมีราคาประมาณ 3,000 – 5,000 บาท ซึ่งอาจเพิ่มค่าใช้จ่ายในการพ่นกันสนิมได้
การพ่นกันสนิมใต้ท้องรถ ขึ้นอยู่กับขนาดของรถและความซับซ้อนของขั้นตอนการพ่น โดยทั่วไปแล้ว จะใช้เวลาอยู่ที่ประมาณ 1-3 ชั่วโมง โดยต้องมีการทำความสะอาดพื้นผิวใต้ท้องรถให้เรียบร้อย เพื่อกำจัดคราบสิ่งสกปรก ฝุ่น และน้ำมัน เพื่อช่วยให้สารกันสนิมยึดเกาะได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เมื่อทำความสะอาดใต้ท้องรถแล้ว ช่างจะพ่นสารกันสนิมตามขั้นตอน ซึ่งอาจใช้เวลา ประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับชนิดของสารกันสนิมที่ใช้และขนาดของรถ สำหรับรถที่มีขนาดใหญ่หรือมีพื้นที่ใต้ท้องกว้าง ขั้นตอนนี้อาจใช้เวลานานขึ้น
หลังจากพ่นเสร็จแล้ว ควรปล่อยให้สารกันสนิมแห้งสนิทเพื่อให้สารยึดเกาะพื้นผิวได้ดีและมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
โดยทั่วไป แนะนำให้พ่นกันสนิมทุก ๆ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานของรถและสภาพภูมิอากาศในพื้นที่ หากรถต้องใช้งานในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง หรือใกล้ทะเลที่มีไอเกลือ ควรพ่นกันสนิมทุกปี
นอกจากนี้ควรหมั่นล้างทำความสะอาดใต้ท้องรถเป็นประจำเพื่อลดการสะสมของคราบสกปรก ฝุ่นละออง และสารเคมีจากถนนที่อาจกัดกร่อนพื้นผิว ควรล้างใต้ท้องรถทุกครั้งที่มีการใช้งานในสภาพที่มีฝุ่นหรือน้ำขังมาก เพื่อรักษาสภาพสารกันสนิมให้มีประสิทธิภาพ
สนิมที่เกิดใต้ท้องรถสามารถกัดกร่อนชิ้นส่วนสำคัญต่าง ๆ เช่น โครงสร้าง ช่วงล่าง ท่อไอเสีย ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่ต้องเผชิญกับฝุ่นและความชื้นโดยตรง เมื่อสนิมกัดกร่อนชิ้นส่วนเหล่านี้ จะทำให้ต้องซ่อมบำรุงหรือเปลี่ยนอะไหล่บ่อยขึ้น ส่งผลให้รถเสียความเสถียรและลดประสิทธิภาพการทำงานการดูแลรักษารถยนต์ให้แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่จะช่วยยืดอายุการใช้งานของรถเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมที่ไม่คาดคิด เช่น การเกิดสนิม ซึ่งอาจส่งผลต่อค่าเบี้ยประกันภัยในอนาคตได้ด้วย การลงทุนในการพ่นกันสนิมใต้ท้องรถจึงเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลรักษารถยนต์ที่สมบูรณ์แบบ ควบคู่ไปกับการทำ ประกันรถยนต์ชั้น 1 เพื่อความอุ่นใจ
check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย
การทำประกันไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตหรือประกันวินาศภัย กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่หลายคนเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นในยุคนี้ บางคนมีประกันหลายฉบับ บางคนทำไว้หลายบริษัท พอทำประกันไว้หลายฉบับ หลายบริษัท หลายปีติด ๆ กัน แล้วเล่มหายหรือจำไม่ได้ว่าทำไว้กับใคร ปัญหาเริ่มมาแบบไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่ทุกวันนี้สามารถเช็คกรมธรรม์จากเลขบัตรประชาชนได้แล้ว ไม่ต้องไปขุดหาเอกสารเก่า ไม่ต้องโทรถามใครให้ยุ่ง
เวลาเกิดอุบัติเหตุแล้วบริษัทประกันของอีกฝ่ายโทรมาเรียกเก็บค่าซ่อม ใครไม่เคยเจอก็อาจจะคิดว่า “ก็แค่จ่ายไปสิ” แต่พอถึงเวลาจริง บางเคสค่าซ่อมอาจพุ่งไปถึงหลักแสนแบบไม่ทันตั้งตัว แถมบางคนไม่มีเงินก้อนพร้อมจ่ายทันที ก็เลยกลายเป็นคำถามยอดฮิตว่า ถ้าไม่มีเงินจ่าย ประกันเรียกค่าซ่อมแบบนี้ ผ่อนได้ไหม? แล้วจะคุยกับประกันยังไงให้ไม่โดนฟ้อง ต้องเตรียมตัวยังไงบ้างให้รอดจากสถานการณ์สุดเครียดนี้ทุกมุม มาหาคำตอบแบบไม่ต้องมโนกันในบทความนี้ดีกว่า การเลือกประกันรถยนต์ที่เข้าใจคนขับจริง ๆ เลยเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะ ประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ให้เลือกความคุ้มครองเองได้ตามงบอย่าง insurverse ที่ช่วยให้ไม่ต้องจ่ายเบี้ยเกินจำเป็น แถมยังซื้อตรงไม่ผ่านตัวแทน ถูกจริงตั้งแต่แรก ไม่มีเงินจ่ายค่าซ่อมในทันที ทำไงดี ถ้าบริษัทประกันเรียกเก็บค่าซ่อมจากคู่กรณีที่เป็นฝ่ายผิด แล้วคนคนนั้นไม่มีเงินจ่ายเต็มจำนวน ไม่ต้องรีบจ่ายทันทีแบบหน้ามืดตามัว เพราะสามารถขอเจรจากับบริษัทประกันได้ตรง ๆ ว่าจะขอผ่อนจ่ายเป็นงวดได้ไหม ซึ่งประกันหลายเจ้าก็พร้อมรับฟัง ถ้ามีเหตุผลและความจริงใจที่จะจ่ายจริง วิธีนี้เรียกว่า การประนอมหนี้ คล้าย ๆ กับการตกลงกันว่า จะผ่อนเท่าไหร่ กี่งวด แล้วต้องมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร หรือบันทึกไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกัน และป้องกันปัญหาในอนาคต แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท ประกันของตัวเองช่วยอะไรได้บ้าง ในบางเคส คนที่เป็นฝ่ายผิดก็ยังมีประกันรถยนต์ของตัวเองอยู่ แบบนี้สบายใจได้ในระดับนึง เพราะประกันของเราจะเข้ามาช่วยดูแลค่าซ่อมในส่วนที่ครอบคลุมไว้ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ แต่ต้องไม่ใช่เคสที่เข้าข่ายถูกตัดสิทธิ เช่น เมาแล้วขับ หรือใช้รถผิดประเภท… Continue reading ประกันเรียกเก็บค่าซ่อม ผ่อนได้ไหม? รู้ทันทุกขั้นตอนก่อนโดนฟ้อง คุยจบ เคลียร์ได้ ไม่ต้องหนี
กรมธรรม์ คือ เอกสารสัญญาสำคัญระหว่างผู้เอาประกันกับบริษัทประกันภัย โดยจะระบุความคุ้มครองที่จะได้รับเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และเงื่อนไขอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง