ปัญหาเฉี่ยวชนในการขับรถ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าผู้ใช้รถอย่างเรา ๆ จะระวังกันมากแค่ไหนก็ตาม และถ้าเป็นรถใหม่ที่เรารักด้วยแล้วล่ะก็ การจะทนดูรอยทุกครั้งที่ต้องใช้รถ คงจะเป็นอะไรที่เจ็บปวดใจไม่น้อย การทำสีรถยนต์ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการจบปัญหานี้ แต่เชื่อว่าผู้ใช้รถหลายคน อาจจะยังเลือกไม่ถูกว่าควรทำสีรถทั้งคัน หรือจะทำสีรถยนต์เฉพาะจุดดี โดยเฉพาะคนที่มีประกันรถยนต์ชั้น 1 และอยากที่เคลมทำสี วันนี้ insurverse เรามีข้อมูลดี ๆ มาฝาก
ในปัจจุบัน การทำสีรถยนต์ จะมีอยู่ทั้งหมด 3 แนวทาง ก็คือ ทำสีรถยนต์แบบ 1K ทำสีรถยนต์แบบ 2K และ ทำสีรถยนต์แบบ OEM ซึ่งจะมีความแตกต่างในส่วนของสีที่ใช้ ขั้นตอน และคุณภาพที่ได้ ดังนี้
การทำสีรถยนต์แบบ 1K (1K Komponent) หรือที่คนส่วนใหญ่ชอบเรียกกันว่า สีแห้งเร็ว จะเป็นการนำสี 1K ไปผสมกับทินเนอร์ที่เป็นตัวทำละลาย ก่อนจะนำไปพ่นลงบนตัวรถ และเมื่อปล่อยทิ้งเอาไว้ ตัวทำละลายจะระเหยออกจนหมด เหลือแต่สีที่แห้งติดกับตัวรถ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สีแบบ 1K จะมีให้เลือกทั้งแบบแห้งเร็ว และแบบแห้งช้า แต่อู่ทำสีส่วนใหญ่มักเลือกแบบแห้งเร็วมาใช้งาน เพราะไม่ต้องนำรถเข้าอบสีก็ได้ จึงทำให้กลายเป็นภาพจำว่า การทำสีแบบ 1K นั้นแห้งเร็ว
ประเภทของสี 1K
การทำสีรถยนต์แบบ 2K (2K Komponent) หรือที่รู้จักกันว่าเป็นสีแห้งช้า จะเป็นสีที่มีส่วนผสมของสารเร่งปฏิกิริยาระหว่างเรซินกับเม็ดสี และสารปรุงแต่งที่ทำให้มีความเงางาม จึงได้รับความนิมสูง ในการทำมาพ่นสีรถยนต์ใหม่ทั้งคัน เพราะมีคุณภาพที่เกือบจะเทียบเท่ากับสี OEM จากโรงงาน ในการทนต่อสภาพแวดล้อมในการใช้งาน
การทำสีรถยนต์ OEM หรือที่เรียกกันว่าสีอบ เป็นสีที่มีคุณภาพมากที่สุดในการทำสีรถยนต์ เพราะต้องใช้ความร้อนในการอบสูงถึง 120 – 160 องศาเซลเซียส จึงมีชั้นฟิล์มที่แข็งแรง ทนทานต่อสารเคมี และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ อย่างแสงแดดได้เป็นอย่างดี จึงเป็นสีที่ได้มาจากรถป้ายแดงเพียงเท่านั้น เพราะอู่ซ่อมสี หรือศูนย์บริการก็ไม่สามารถทำสีรถยนต์ด้วยวิธีนี้ได้
หากเป็นรอยนิดหน่อย การเลือกทำสีรถยนต์เฉพาะจุดจะดีกว่า เพราะการเลือกทำสีรถทั้งคันมีความเสี่ยงมากเกินไป อย่างที่เราได้อธิบายไปว่า การทำสีรถยนต์ตามอู่ ต่อให้จะเจออู่ทำสีที่ชำนาญขนาดไหน คุณภาพที่ได้ก็จะไม่เทียบเท่าสีรถจากโรงงานอยู่ดี และมีโอกาสเจอการเก็บงานที่ไม่ละเอียด สีไม่เรียบเนียน เป็นฟองอากาศ และอาจหลุดร่อนหลังใช้งานไปได้ไม่นาน ซึ่งอาจสร้างปัญหาให้ปวดใจมากกว่าเดิม
การทำสีรถยนต์บ่อยเกินไป จะทำให้สีเพี้ยน และหลุดลอกง่ายกว่าเดิม ยิ่งถ้าเจออู่ที่เก็บงานไม่ดีด้วยแล้ว จะทำให้มีฝุ่นเข้าไปในเนื้อสี และทำให้สีดูเป็นคลื่น หนักหน่อยก็อาจจะมีฟองอากาศด้วย ซึ่งจะทำให้รถดูไม่สวยเหมือนเก่า และหากอยากขายต่อ ก็อาจจะทำให้ราคาตกลงด้วย เพราะดูเหมือนรถที่เฉี่ยวชนมาบ่อย
ราคาค่าใช้จ่ายในการทำสีรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นเฉพาะจุด แบบทั้งชิ้น หรือทำสีรถทั้งคัน จะขึ้นอยู่กับสภาพผิวของตัวรถ ขนาดของรถ คุณภาพสีที่ใช้ และความดังของอู่ที่เลือก ซึ่งจะแบ่งได้คร่าว ๆ ดังนี้
ระยะเวลาในการทำสีรถยนต์ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ตอบได้ยาก เพราะจะนานหรือไม่นานจะขึ้นอยู่กับชิ้นงานในการทำ แต่โดยปกติ หากเป็นการทำสี 2 -3 ชิ้นงาน จะกินเวลาไม่เกิน 1 อาทิตย์ แต่หากเป็นการทำสีรถทั้งคัน อาจใช้เวลาประมาณ 3 – 4 อาทิตย์
สีรถยนต์ที่ทำมา จะอยู่ได้ตั้งแต่ 2 – 10 ปี โดยจะขึ้นอยู่คุณภาพสีที่ใช้ ฝีมือของอู่ซ่อมสีรถ และการดูแลรักษาในระหว่างใช้งาน เพราะสีที่ทำมาจะไม่ทนแดด ทนฝน เทียบท่ากับสีจากโรงงาน แต่หากดูแลดี ก็สามารถใช้งานได้นานจนลืมไปเลยก็ได้
หลังจากทำสีรถยนต์มา ควรพยายามหาที่จอดหลบแดดถ้าเป็นไปได้ รวมถึงการหมั่นล้างรถ และนำไปเคลือบสีบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อช่วยยืดอายุของสีรถให้อยู่ได้นานมากขึ้น
และทั้งหมดนี้ ก็คือความแตกต่างของการทำสีรถยนต์แบบเฉพาะจุด และทำสีรถทั้งคัน ที่คนมีประกันรถยนต์ควรรู้เอาไว้ เพราะหากเกิดการเฉี่ยวชนขึ้นมา และต้องทำการเคลมเพื่อซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย จะได้เจรจาต่อรองกันให้ดีว่าควรทำหรือเปล่า เพราะไม่มีอะไรสู้สีรถเดิมจากโรงงานได้อีกแล้ว ส่วนใครที่กังวลเรื่องการเฉี่ยวชน แต่ไม่อยากทำประกันชั้น 1 มาทำประกันชั้น 2+ กับทาง insurverse ดีกว่า เพราะเป็นประกันรถออนไลน์เจ้าแรกในไทย ที่ให้ผู้ทำประกันเลือกปรับแต่งความคุ้มครองได้ตามต้องการ ในราคาที่คุ้มค่ากว่าใคร
check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย
การทำประกันไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตหรือประกันวินาศภัย กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่หลายคนเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นในยุคนี้ บางคนมีประกันหลายฉบับ บางคนทำไว้หลายบริษัท พอทำประกันไว้หลายฉบับ หลายบริษัท หลายปีติด ๆ กัน แล้วเล่มหายหรือจำไม่ได้ว่าทำไว้กับใคร ปัญหาเริ่มมาแบบไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่ทุกวันนี้สามารถเช็คกรมธรรม์จากเลขบัตรประชาชนได้แล้ว ไม่ต้องไปขุดหาเอกสารเก่า ไม่ต้องโทรถามใครให้ยุ่ง
เวลาเกิดอุบัติเหตุแล้วบริษัทประกันของอีกฝ่ายโทรมาเรียกเก็บค่าซ่อม ใครไม่เคยเจอก็อาจจะคิดว่า “ก็แค่จ่ายไปสิ” แต่พอถึงเวลาจริง บางเคสค่าซ่อมอาจพุ่งไปถึงหลักแสนแบบไม่ทันตั้งตัว แถมบางคนไม่มีเงินก้อนพร้อมจ่ายทันที ก็เลยกลายเป็นคำถามยอดฮิตว่า ถ้าไม่มีเงินจ่าย ประกันเรียกค่าซ่อมแบบนี้ ผ่อนได้ไหม? แล้วจะคุยกับประกันยังไงให้ไม่โดนฟ้อง ต้องเตรียมตัวยังไงบ้างให้รอดจากสถานการณ์สุดเครียดนี้ทุกมุม มาหาคำตอบแบบไม่ต้องมโนกันในบทความนี้ดีกว่า การเลือกประกันรถยนต์ที่เข้าใจคนขับจริง ๆ เลยเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะ ประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ให้เลือกความคุ้มครองเองได้ตามงบอย่าง insurverse ที่ช่วยให้ไม่ต้องจ่ายเบี้ยเกินจำเป็น แถมยังซื้อตรงไม่ผ่านตัวแทน ถูกจริงตั้งแต่แรก ไม่มีเงินจ่ายค่าซ่อมในทันที ทำไงดี ถ้าบริษัทประกันเรียกเก็บค่าซ่อมจากคู่กรณีที่เป็นฝ่ายผิด แล้วคนคนนั้นไม่มีเงินจ่ายเต็มจำนวน ไม่ต้องรีบจ่ายทันทีแบบหน้ามืดตามัว เพราะสามารถขอเจรจากับบริษัทประกันได้ตรง ๆ ว่าจะขอผ่อนจ่ายเป็นงวดได้ไหม ซึ่งประกันหลายเจ้าก็พร้อมรับฟัง ถ้ามีเหตุผลและความจริงใจที่จะจ่ายจริง วิธีนี้เรียกว่า การประนอมหนี้ คล้าย ๆ กับการตกลงกันว่า จะผ่อนเท่าไหร่ กี่งวด แล้วต้องมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร หรือบันทึกไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกัน และป้องกันปัญหาในอนาคต แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท ประกันของตัวเองช่วยอะไรได้บ้าง ในบางเคส คนที่เป็นฝ่ายผิดก็ยังมีประกันรถยนต์ของตัวเองอยู่ แบบนี้สบายใจได้ในระดับนึง เพราะประกันของเราจะเข้ามาช่วยดูแลค่าซ่อมในส่วนที่ครอบคลุมไว้ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ แต่ต้องไม่ใช่เคสที่เข้าข่ายถูกตัดสิทธิ เช่น เมาแล้วขับ หรือใช้รถผิดประเภท… Continue reading ประกันเรียกเก็บค่าซ่อม ผ่อนได้ไหม? รู้ทันทุกขั้นตอนก่อนโดนฟ้อง คุยจบ เคลียร์ได้ ไม่ต้องหนี
กรมธรรม์ คือ เอกสารสัญญาสำคัญระหว่างผู้เอาประกันกับบริษัทประกันภัย โดยจะระบุความคุ้มครองที่จะได้รับเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และเงื่อนไขอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง