ยางรถยนต์ หนึ่งในชิ้นส่วนสำคัญของการขับขี่ที่สัมผัสกับพื้นผิวถนนโดยตรง ซึ่งแน่นอนว่าต้องส่งผลต่อสมรรถนะในการใช้รถ รวมไปถึงความปลอดภัยในการขับขี่อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่หลายคนน่าจะมีคำถามคาใจในอยู่ไม่น้อย ว่าควรดูที่อะไรกันแน่เมื่อต้องการเปลี่ยนยางไว้ใช้งาน ควรจะดูที่ปีผลิตเป็นหลักดีไหม หรือควรจะดูที่ดอกยาง และสภาพเนื้อยางโดยรวมดี และหากจะต้องเลือกเปลี่ยนจริง ๆ ควรจะเลือกยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดีให้เหมาะกับการใช้งาน เราจะพาไปหาคำตอบกันในวันนี้
ยางปีเก่า คือ ยางรถยนต์ค้างปี ที่ถูกระบายสต๊อกออกไม่หมดภายในปีนั้น ๆ จึงถูกนำมาลดราคาให้ถูกลงเพื่อช่วยให้ระบายสินค้าออกได้เร็วขึ้น แต่ยังคงเป็นยางสภาพใหม่ที่ไม่ได้ผ่านการใช้งานมาแต่อย่างใด จึงแทบจะไม่มีความแตกต่างในการเปลี่ยนเพื่อใช้งาน หากมีการเก็บรักษาอย่างถูกวิธีจากทางร้าน
ยางปีเก่า มีความปลอดภัยในการใช้งานตามปกติ หากมีการจัดเก็บที่ถูกต้องในพื้นที่อากาศถ่ายเท ไม่มีความชื้น และมึอุณหภูมิต่ำกว่า 35 องศาเซลเซียส ยางรถก็จะคงสภาพพร้อมใช้งานเหมือนเพิ่งผลิตออกมา โดยไม่มีความแตกต่างจากยางรถเส้นใหม่ที่เพิ่งผลิตแต่อย่างใด
การซื้อยางปีเก่ามาใช้งานนั้นสามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อยางรถยนต์แบรนด์ไหนก็ตาม หากถูกจัดเก็บไว้อย่างดี โดยไม่โดนแสงแดด และอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสมตามที่กล่าวไปด้านบน การซื้องยางปีกว่าจะได้ราคาที่ถูกลง แต่ยังสมรรถนะในการใช้งานเทียบเท่ายางใหม่ จึงมีความคุ้มค่าเป็นอย่างมาก
แต่หากใครยังรู้สึกไม่มั่นใจว่าจะเลือกยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี ที่เป็นยางปีเก่า แต่ยังสามารถทำมาใช้งานได้เต็มสมรรถนะเหมือนยางที่เพิ่งผลิตออกมา ลองมาเอาวิธีสังเกตตามขั้นตอนด้านล่างนี้ไปปรับใช้กัน
หากอยากเลือกใช้ยางปีเก่า สิ่งแรกที่ควรสังเกตเลยก็คือสถานที่จัดจำหน่ายยางรถยนต์ ว่าดูมีมาตรฐานในการจัดเก็บยางดีพอหรือไม่ โดยสังเกตได้ง่าย ๆ จากสภาพภายในร้านว่ามีอากาศถ่ายเทไหม วางยางเป็นแนวตั้งหรือเปล่า แล้วจุดที่เก็บยางนั้นมีแสงแดดส่องมาโดนยางหรือไม่ ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการเสื่อมสภาพของยางรถ
หากสถานที่จัดจำหน่ายดูมีมาตรฐานตามปกติ สิ่งต่อมาที่ต้องทำการเช็กก็คือ การตรวจเช็กสลากบนยางรถยนต์ว่ามีซีลหุ้มอยู่ดีแค่ไหน มีสิ่งแปลกปลอมทิ่มตัวยาง หรือมีคราบปื้นเปื้อนของสารเคมีอยู่บนพื้นผิวยางหรือไม่ หากยางยังอยู่ในสภาพสวยงามตามปกติ ให้ตรวจดูตัวเลขการผลิต 4 หลักสุดท้ายบนแก้มยาง ที่ใช้เป็นมาตรฐานสากลในการดูปีที่ผลิตยาง เพราะถึงแม้จะมีสภาพดีแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็ไม่ควรเลือกยางปีเก่ามากมาใช้งาน เพราะมีโอกาสเสื่อมสภาพได้ง่ายกว่า ถ้าเป็นไปได้ก็ควรเลือกยางที่เก่าไม่เกิน 2 ปีมาใช้งานจะดีกว่า
อีกจุดสังเกตก็คือบริเวณหน้ายาง ต้องสังเกตรอยกดทับตรงดอกยาง และแก้มยางให้ดีว่ามีการแตกลายงาไหม หรืออยู่ในสภาพผิดแปลกจากที่ควรจะเป็นในยางที่ไม่เคยใช้งาน เพราะยางที่ดีจะต้องมีสภาพสวยสมบูรณ์บริเวณหน้ายาง และดอกยางที่ลึกแบบคมชัด
และจุดสุดท้ายก็คือการถามถึงการรับประกัน หากยางนั้นมีสภาพการใช้งานได้ตามปกติ ตัวแทนจำหน่ายมักจะมีประกันให้ตามปกติเพื่อการันตีถึงการใช้งาน หากไม่มีก็ควรเลี่ยงการเลือกซื้อมาใช้งานจะดีกว่า
ในขั้นตอนการเช็กอายุยางรถยนต์เบื้องต้น สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงสังเกตที่บริเวณแก้มยางด้านล่าง ซึ่งจะมีตัวเลข 4 หลักสุดท้ายกำกับไว้อยู่ ที่ใช้เป็นมาตรฐานสากลในการบอกปีที่ผลิตของยางรถยนต์ไว้ใช้งาน
โดยปกติแล้ว ยางรถยนต์จะมีอายุการใช้งานเฉลี่ยไม่เกิน 5 ปี หรือประมาณ 30,000 – 50,000 กม. ก่อนจะครบกำหนดในการเปลี่ยนยางเส้นใหม่ แต่หากเป็นยางปีเก่าที่ไม่เคยใช้งานลงถนนเลย แต่ยังอยู่ในสภาพที่ดี ก็ให้เริ่มนับอายุจากการนำลงล้อเพื่อใช้งานตามปกติเหมือนยางใหม่
หากการเลือกใช้งานยางปีเก่านั้นตอบโจทย์ความคุ้มค่าเงินในกระเป๋า แต่ยังไม่ตอบโจทย์ความอุ่นใจ ไม่ว่าจะเป็นยางรถยนต์ยี่ห้อไหนก็ดี การเลือกทำประกันชั้น 1 ก็เป็นอีกทางเลือกของคนใช้รถ ที่ไม่ควรมองข้ามกันเด็ดขาด เพราะไม่ว่าจะเกิดอุบัติอะไรขึ้น ประกันชั้น 1 ก็จะให้ความคุ้มครองในทุกกรณีนั่นเอง
หลายคนน่าจะหายสงสัยกันแล้วใช่ไหม ไม่ว่ายางปีเก่านั้นจะเป็นยี่ห้อยางรถยนต์แบรนด์ได้ ก็สามารถเลือกลงล้อไว้ใช้งานได้ทั้งหมด หากยางเส้นนั้นมีการจัดเก็บที่ถูกต้อง และอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน อีกทั้งยังมีราคาค่าตัวที่ถูกกว่ายางปีใหม่อีกพอสมควร จึงเป็นอีกทางเลือกที่คุ้มค่าเงินในกระเป๋าของคนใช้รถได้เป็นอย่างดี
check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย
การทำประกันไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตหรือประกันวินาศภัย กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่หลายคนเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นในยุคนี้ บางคนมีประกันหลายฉบับ บางคนทำไว้หลายบริษัท พอทำประกันไว้หลายฉบับ หลายบริษัท หลายปีติด ๆ กัน แล้วเล่มหายหรือจำไม่ได้ว่าทำไว้กับใคร ปัญหาเริ่มมาแบบไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่ทุกวันนี้สามารถเช็คกรมธรรม์จากเลขบัตรประชาชนได้แล้ว ไม่ต้องไปขุดหาเอกสารเก่า ไม่ต้องโทรถามใครให้ยุ่ง
เวลาเกิดอุบัติเหตุแล้วบริษัทประกันของอีกฝ่ายโทรมาเรียกเก็บค่าซ่อม ใครไม่เคยเจอก็อาจจะคิดว่า “ก็แค่จ่ายไปสิ” แต่พอถึงเวลาจริง บางเคสค่าซ่อมอาจพุ่งไปถึงหลักแสนแบบไม่ทันตั้งตัว แถมบางคนไม่มีเงินก้อนพร้อมจ่ายทันที ก็เลยกลายเป็นคำถามยอดฮิตว่า ถ้าไม่มีเงินจ่าย ประกันเรียกค่าซ่อมแบบนี้ ผ่อนได้ไหม? แล้วจะคุยกับประกันยังไงให้ไม่โดนฟ้อง ต้องเตรียมตัวยังไงบ้างให้รอดจากสถานการณ์สุดเครียดนี้ทุกมุม มาหาคำตอบแบบไม่ต้องมโนกันในบทความนี้ดีกว่า การเลือกประกันรถยนต์ที่เข้าใจคนขับจริง ๆ เลยเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะ ประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ให้เลือกความคุ้มครองเองได้ตามงบอย่าง insurverse ที่ช่วยให้ไม่ต้องจ่ายเบี้ยเกินจำเป็น แถมยังซื้อตรงไม่ผ่านตัวแทน ถูกจริงตั้งแต่แรก ไม่มีเงินจ่ายค่าซ่อมในทันที ทำไงดี ถ้าบริษัทประกันเรียกเก็บค่าซ่อมจากคู่กรณีที่เป็นฝ่ายผิด แล้วคนคนนั้นไม่มีเงินจ่ายเต็มจำนวน ไม่ต้องรีบจ่ายทันทีแบบหน้ามืดตามัว เพราะสามารถขอเจรจากับบริษัทประกันได้ตรง ๆ ว่าจะขอผ่อนจ่ายเป็นงวดได้ไหม ซึ่งประกันหลายเจ้าก็พร้อมรับฟัง ถ้ามีเหตุผลและความจริงใจที่จะจ่ายจริง วิธีนี้เรียกว่า การประนอมหนี้ คล้าย ๆ กับการตกลงกันว่า จะผ่อนเท่าไหร่ กี่งวด แล้วต้องมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร หรือบันทึกไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกัน และป้องกันปัญหาในอนาคต แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท ประกันของตัวเองช่วยอะไรได้บ้าง ในบางเคส คนที่เป็นฝ่ายผิดก็ยังมีประกันรถยนต์ของตัวเองอยู่ แบบนี้สบายใจได้ในระดับนึง เพราะประกันของเราจะเข้ามาช่วยดูแลค่าซ่อมในส่วนที่ครอบคลุมไว้ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ แต่ต้องไม่ใช่เคสที่เข้าข่ายถูกตัดสิทธิ เช่น เมาแล้วขับ หรือใช้รถผิดประเภท… Continue reading ประกันเรียกเก็บค่าซ่อม ผ่อนได้ไหม? รู้ทันทุกขั้นตอนก่อนโดนฟ้อง คุยจบ เคลียร์ได้ ไม่ต้องหนี
กรมธรรม์ คือ เอกสารสัญญาสำคัญระหว่างผู้เอาประกันกับบริษัทประกันภัย โดยจะระบุความคุ้มครองที่จะได้รับเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และเงื่อนไขอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง