การเติมลมยางรถเก๋ง เป็นสิ่งที่คนใช้รถต้องทำเป็นประจำไม่ต่างจากการล้างรถ ปริมาณลมยางที่เหมาะสมในการเติมใช้งาน จึงมีความสำคัญอย่างมาก แต่สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าต้องเติมเท่าไหร่ เพราะปกติก็ขับใช้งานอย่างเดียว หรือไม่ก็เลือกใช้บริการเติมลมยางฟรีจากร้านข้างนอกทั่วไปเป็นประจำ วันนี้ insurverse จะมาบอกข้อมูลเรื่องการเติมยาง พร้อมกับความสำคัญที่ส่งผลต่อการใช้งานให้ได้อ่านกัน
เพราะการเติมลมยางรถเก๋ง ไม่เพียงส่งผลในเรื่องของการยึดเกาะถนนเพียงเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดยางระเบิด รวมไปถึงความนั่งสบายของผู้โดยสารทั้งหมดภายในรถ จึงจำเป็นต้องเติมลมให้เหมาะสมกับขนาดของยางล้อรถ และน้ำหนักที่บรรทุกอยู่เป็นประจำ
ผู้ใช้รถหลายคนอาจสงสัยว่า รถเก๋งเติมลมเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม ซึ่งตามหลักแล้ว รถทุกรุ่นจะมีบอกปริมาณลมยางที่เหมาะสมในการเติมให้อยู่ โดยจะติดอยู่กับที่นั่งด้านคนขับหากเปิดประตูออก ซึ่งค่าเฉลี่ยของลมยางที่เหมาะสม จะอยู่ไม่เกินนี้
รถเก๋งขนาดเล็กหรือ ECO Car : เติมลมรถเก๋งขอบ 15 ขนาดเล็ก แนะนำปริมาณลมยางที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 28-32 PSI ถ้ารถเก๋งขอบยาง 18 ขึ้นไป แนะนำประมาณ 33-35 PSI
รถเก๋งขนาดกลาง : เติมลมรถเก๋งขอบ 16 ควรเติมลมเท่าไร? ปริมาณลมยางที่เหมาะสมสำหรับรถเก๋งขนาดกลางจะอยู่ที่ประมาณ 32-36 PSI
รถตู้ หรือ รถ 7 ที่นั่ง : รถ 7 ที่นั่งควรเติมลมยางเท่าไร? ปริมาณลมยางขอบล้อขนาด 15 ที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 33-35 PSI แต่ถ้ามีคนนั่งโดยสารเยอะสามารถปรับเป็น 33-39 PSI หากขอบล้อขนาด 17 แนะนำปริมาณลมยาง 43-55 PS
รถกระบะ : รถกระบะควรเติมลมยางเท่าไร? สำหรับขอบล้อยางรถยนต์ขนาด 16 ถึง 18 ปริมาณลมยางที่เหมาะสมของรถกระบะจะอยู่ที่ 33-35 PSI หากเน้นบรรทุกสิ่งของแนะนำเติมประมาณ 40 PSI ทั้งนี้เลือกเติมลมตามการใช้งาน
ก่อนจะเติมลมยางรถเก๋ง เราจำเป็นจะต้องเช็กปริมาณลมยางคงเหลือให้แม่นยำ ซึ่งการเช็กลมยางหลังจากวิ่งมาระยะทางไกลนั้นผิด เพราะยางจะเกิดการขยายตัวจากความร้อนที่เกิดขึ้น จึงควรเช็กในขณะที่ยางเย็นตัวลง และดีที่สุดคือการซื้อเครื่องเช็กมาใช้งานส่วนตัว แต่หากไม่มี ก็สามารถใช้งานที่เติมลมตามปั๊มน้ำมัน เพื่อเช็กค่าลมยางที่เหลืออยู่ไปในตัวได้เลย และควรหมั่นเช็กทุก 2 สัปดาห์ เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถจะดีที่สุด
วิธีเช็คระดับค่าแรงดันลมยางอ่านยังไง? สามารถทำได้ 2 วิธี ดังนี้ค่ะ
1. ใช้เครื่องวัดลมยางเกจแบบเข็ม : การใช้เครื่องวัดแรงดันลมยาง จะช่วยทำให้เช็กได้ว่าแรงดันอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานไหม ให้กดปุ่ม Reset ก่อน แล้วใช้จุดวัดลมยางกดไปที่จุดหัวลมล้อ เมื่อเข็มขึ้นแจ้งระดับลมยางแล้วก็ให้ปลดเครื่องวัดแรงดันลมยางออกจากล้อได้เลยค่ะ อ่านค่าลมที่วัดได้แล้วนำไปเทียบกับสติ๊กเกอร์ข้างรถฝั่งคนขับได้ค่ะ
2. ไปตรวจวัดที่ปั๊มน้ำมัน : หากลมยางอ่อนให้เปิดจุกยางออกแล้วเช็คที่ตู้เติมลมยางตามปั๊มน้ำมัน เพียงนำหัวจ่ายลมยางของตู้เติมลมยางอัตโนมัติกดไปที่จุดหัวลมล้อ แล้วดูตัวเลขว่าเครื่องอ่านค่าเป็นเลขอะไร ก็ถอดหัวจ่ายลมยางออกได้เลยค่ะ เพียงเท่านี้ก็รู้ระดับลมยางแล้วค่ะ แต่ถ้าใครไม่อยากเสียเวลาสามารถเติมลมต่อตามระดับที่ต้องการต่อ จนได้ยินเสียงปิ๊ปๆ หรือจนตัวเลขระดับลมกระพริบ เพื่อเติมลมยางให้เต็มตามมาตรฐานระดับลมยางที่ต้องการได้เลยค่ะ
การเติมลมยางรถเก๋งนั้นง่ายมาก เพียงแค่จอดเข้าไปในปั๊มน้ำมัน พร้อมกับมองหาตู้เติมลมที่ส่วนมากจะอยู่ด้านใน แล้วทำการเคลื่อนรถเข้าไปจอดให้ตรงกับช่องที่ขีดเส้นไว้ จากนั้นให้ลงไปที่หน้าตู้เติมลม พร้อมกับกดปริมาณลมยางที่ต้องการเติม โดยจะมีสัญลักษณ์เพียง “+” กับ “-” เท่านั้น ให้ทำการลากสายเติมลมมาที่บริเวณล้อที่ต้องการจะเติม พร้อมกับหมุนจุกลมยางแบบทวนเข็มนาฬิกาออก และทำการบีบสายเติมลมก่อนนำไปเสียบบริเวณจุกลมที่ต้องการเติม และรอให้ลมยางเติมจนเต็มจนมีเสียงร้องเตือนจากตู้ ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการเติมลมยางรถเก๋ง
เติมลมแบบไนโตรเจน มีข้อดีมากกว่าลมยางธรรมดาตรงที่ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปเติมลมบ่อย เพราะแรงดันยางจะอ่อนลงช้ากว่า รวมไปถึงความสม่ำเสมอของแรงดันลมยาง จะช่วยทำให้การยึดเกาะถนนนั้นทำได้ดีกว่า และลดความเสี่ยงของยางระเบิดได้มากขึ้นด้วย แต่ก็ไม่ได้มีนัยสำคัญจนส่งผลกระทบในแง่ความปลอดภัยขนาดนั้น หากไม่สะดวกจริง ๆ ก็สามารถเลือกเติมยางแบบธรรมดาได้ไม่ผิดเช่นกัน
การเติมลมรถเก๋งที่อ่อนไป หรือแข็งเกินไป น่าจะเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผู้ใช้รถหลายคนสงสัยว่า จะมีผลเสียจนทำให้ความปลอดภัยลดลงหรือไม่ ต้องบอกว่ามีแน่นอน และเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดขึ้นบ่อยที่สุดด้วยค่ะ ดังนั้นเลือกทำประกันภัยรถยนต์ติดรถเอาไว้ดีกว่า เป็นตัวเลือกที่ทำให้รถและคุณปลอดภัยยิ่งขึ้นค่ะ แล้วการเติมลมที่อ่อนหรือแข็งเกินไปจะส่งผลเสียรูปแบบไหนบ้างนั้น ตามมาดูรายละเอียดกันต่อเลยค่ะ
การเติมลมยางรถเก๋งอ่อนเกินไป อาจทำให้ยางระเบิดได้ จากการรับภาระน้ำหนักของตัวรถที่มากเกินไปในขณะทำความเร็ว อีกทั้งยังทำให้การควบคุมตัวรถทำได้ยากขึ้น ดอกยางสึกไวขึ้น และกินน้ำมันมากกว่าเดิมด้วยเช่นกัน
การเติมลมยางรถเก๋งแข็งเกินไป จะส่งผลให้การยึดเกาะถนนนั้นแย่ลง เพราะหน้ายางจะไม่ได้สัมผัสกับพื้นถนนอย่างเต็มประสิทธิภาพ และจะทำให้ดอกยางบริเวณที่สัมผัสกับถนนสึกเร็วกว่าส่วนอื่น จึงเพิ่มความเสี่ยงในการขับมากกว่าปกติ
ปั๊มน้ำมัน คือสถานที่เติมลมรถเก๋งที่สะดวกสบายที่สุด เพราะมีจุดบริการกระจายตัวในทุกพื้นที่ แต่สำหรับคนที่ไม่สะดวกเติมเอง ก็สามารถไปใช้ศูนย์บริการรถยนต์แบบครบวงจรได้ ซึ่งอาจจะมีโปรโมชันในการเติมลมยางแบบไนโตรเจนได้ฟรีไม่จำกัดครั้งด้วย
ควรเติมลมยางรถเก๋งทุก 1 เดือน เพราะโดยปกติ หากไม่มีการรั่วซึม หรือเกิดความผิดปกติที่ตัวยาง แรงดันยางจะลดลงเพียง 1 – 2 PSI เท่านั้นในการใช้งาน แต่ถ้ารู้สึกไม่มั่นใจ ก็สามารถเข้าไปตรวจเช็กลมยางทุก 2 สัปดาห์ได้เช่นกัน เพราะเป็นวิธีที่ปลอดภัยในการเช็กรถไปในตัว
และทั้งหมดนี้ ก็คือความสำคัญของการเติมลมยางรถเก๋งให้เหมาะสม ที่แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่กลับส่งผลต่อความปลอดภัยได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ต่างจากความเสี่ยงในการใช้รถบนถนนทั่วไป ที่เราทุกคนจะต้องเผชิญ การทำประกันรถยนต์ชั้น 1 หรือประกันชั้น 2+ ไว้ จึงเป็นอีกหนึ่งความอุ่นที่คนมีรถไม่ควรพลาด สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าจะทำที่ไหน มาทำกับ insurverse ดีกว่า เพราะเราเป็นประกันออนไลน์เจ้าแรกในไทย ที่ให้คุณปรับแต่งความคุ้มครองได้ตามต้องการ ในราคาที่คุ้มค่ากว่าใคร สะดวกเมื่อไร ก็ทำได้ตลอด 24 ชม.
ตามมาดูคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีการเติมลมยาง ว่าจะมีอะไรอีกบ้าง? ดังนี้ค่ะ
คำถามยอดฮิต เติมลมล้อหน้ามากกว่าล้อหลังจริงไหม? ขึ้นอยู่กับการใช้งาน แต่ไม่ควรเติมเท่ากัน 4 ล้อ หากเป็นรถเก๋งต้องเติมล้อหน้ามากกว่าล้อหลัง เพราะน้ำหนักรถส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณด้านหน้ามากกว่าด้านหลังและถ้าหากเป็นรถกระบะบรรทุกของจะต้องเติมปริมาณลมยางล้อหลังให้มีค่าแรงดันลมยางมากกว่าล้อหน้า เพื่อรองรับการบรรทุกของและป้องกันของกระเด็นกระดอนออกระหว่างขับขี่
เติมลมยางรถกระบะบรรทุกหนักได้ไหม? คงจะเป็นคำถามคาใจไม่น้อยสำหรับกลุ่มรถที่ใช้ขนย้ายสิ่งของที่มีน้ำหนักมากๆ เกือบตลอดเวลา หากต้องการเติมลมก่อนที่จะขนของ คำตอบคือ ก่อนบรรทุกของสามารถเติมลมได้เลยค่ะ แนะนำเพิ่มแรงดันลมยางให้มากขึ้นกว่าปกติเป็น 35-40 PSI หรืออาจจะเพิ่มมากกว่านี้ ตามความเหมาะสมค่ะ ทั้งนี้หากบรรทุกสิ่งของหนักไม่เกิน 1,000 กิโลกรัมหรือ 1 ตัน แต่ละล้อจะต้องเติมลมยางไม่เกิน 65 PSI ค่ะ แต่ถ้ามีของบรรทุกอยู่บนรถในปริมาณมาก แนะนำควรใช้แม่แรงยกล้อให้สูงขึ้นจากพื้นก่อนแล้วค่อยเติมลมหรือขับรถไปเติมที่ร้านที่มีเครื่องไม้เครื่องมือในการยกรถ เพราะถ้าเติมลมยางขณะบรรทุกของหนัก อาจจะทำให้ลมดันออกและทำให้ยางแบนหรือแตกได้ค่ะ นอกจากนี้การเติมลมยางขณะที่ยังบรรทุกของหนักเมื่อนำของออกจากรถแล้วยังจะส่งผลกระทบทำให้ยางที่เติมลงไปแต่ละข้างนั้นมีแรงดันไม่เท่ากันด้วยค่ะ
check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย
แหนบรถยนต์ช่วยรองรับน้ำหนัก ดูดซับแรงกระแทก และเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ รู้จักหน้าที่ของแหนบและวิธีดูแลจะช่วยให้ใช้งานได้ยาวนาน
ปีกนกรถยนต์อยู่ใต้ท้องรถกว่าที่จะรู้ว่ามีปัญหาก็อาจทำให้ความเสียหายลุกลามไปยังจุดอื่น ๆ ของช่วงล่าง ควรตรวจเช็กตามระยะและเปลี่ยนอะไหล่ตามวงรอบ
รู้สัญญาณเตือนก่อนถ่านรีโมทรถยนต์จะหมด พร้อมแนะนำเลือกถ่านรีโมทแบบไหนให้เหมาะกับรุ่นรถและควรทำอย่างไรหากถ่านรีโมทหมดกะทันหัน