vertical_align_top
keyboard_arrow_leftย้อนกลับ
การเที่ยวแบบ Road Trip คืออะไร ทำไมควรทำประกันภัยรถยนต์ติดไว้

การเที่ยวแบบ Road Trip คืออะไร ทำไมควรทำประกันภัยรถยนต์ติดไว้

schedule
share

เมื่อได้ยินคำว่า Road Trip หลายคนอาจจะคุ้นชินกับคำ ๆ นี้จากภาพยนตร์ฝั่งตะวันตก ที่มักจะเห็นตัวละครออกเดินทางไกลกันเป็นหลักอาทิตย์ หรือหลักเดือนด้วยรถคันเดียว พร้อมกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ตลอดเส้นทางที่ไป ซึ่งในปัจจุบัน การเดินทางแบบนี้ก็เริ่มได้รับความนิยมในฝั่งเอเชียกันไม่น้อย รวมไปถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน วันนี้ทาง insurverse เราจะมาอธิบายให้ทุกคนได้เข้าใจกันเอง ว่าการเที่ยวแบบ road trip คืออะไร ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างให้การเดินทางราบรื่น เรามาดูกันดีกว่า 

การเดินทางท่องเที่ยวแบบ Road Trip คืออะไร

การเดินทางท่องเที่ยวแบบ Road Trip คืออะไร หลายคนอาจจะสงสัยว่า มันเหมือนกับการขับรถเที่ยวไปเรื่อยแบบค่ำไหนนอนนั่นหรือเปล่า คำตอบก็คือใช่ แต่ไม่ทั้งหมด เพราะการเดินทางแบบ Road Trip คือการขับรถเดินทางไกล โดยมีระยะเวลาในการท่องเที่ยวที่ยาวนานกว่าปกติ ซึ่งอย่างน้อย ๆ ก็ควรจะไม่ต่ำกว่า 1 อาทิตย์ เพราะจุดประสงค์ของการเดินทางแบบนี้ คือการท่องเที่ยวอย่างมีอิสระ โดยไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาเข้ามากวนใจ เพื่อให้ได้เสพประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างทาง ผ่านการวางแผนแบบคร่าว ๆ ว่าจะผ่านเส้นทางไหนบ้าง และจะเลือกพักในจุดไหน เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางตลอดทั้งทริป 

ทำไมประกันภัยรถยนต์ถึงสำคัญในการเที่ยวแบบ Road Trip

เพราะการเที่ยวแบบ Road Trip คือการเดินทางไกลที่ต้องอยู่บนท้องถนนเสมอ ความเสี่ยงในการเกิดอุบ้ติเหตุจึงมีอยู่ตลอดเวลา ประกันภัยรถยนต์จึงสำคัญอย่างมากในการท่องเที่ยวทางไกลแบบนี้ เพราะให้ความคุ้มครองในส่วนของตัวรถในเรื่องค่าซ่อมแซม และยังมีความคุ้มครองในค่ารักษากรณีที่บาดเจ็บอีกด้วย 

7 เคล็ดลับการเดินทางแบบ Road Trip ก่อนทำประกันภัยรถยนต์

สำหรับที่อยากจะท่องเที่ยวแบบ Road Trip ดูบ้าง แต่ไม่รู้ว่าควรเตรียมตัวอย่างไร ทาง insurverse เรามีทริกดี ๆ ในการเตรียมตัวก่อนเดินทาง เพื่อความราบรื่นในการเดินทางแบบไม่ต้องกังวลด้านความปลอดภัย จะมีอะไรกันบ้าง มาไล่ดูไปพร้อม ๆ กันดีกว่า 

1. เลือกเส้นทางที่ปลอดภัยในการเดินทาง

หากเราเป็นมือใหม่ที่ยังไม่เคยท่องเที่ยวแบบนี้มาก่อน อันดับแรกควรเลือกเส้นทางที่ปลอดภัย ควรเป็นจังหวัดที่เหมาะกับการท่องเที่ยวสักหน่อย มีปั๊มน้ำมัน หรือร้านค้าบ้างประปราย เพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมา อย่างน้อยก็ยังสามารถขอความช่วยเหลือได้ เพราะถ้าเลือกเส้นทางที่ธรรมชาติสวยงาม แต่เป็นเส้นทางที่เปลี่ยวเกินไป ไม่มีรถวิ่งผ่านเยอะ หากเกิดอะไรขึ้นมาก็จะลำบากในการติดต่อขอความช่วยเหลือเอาได้ 

2. เลือกเช่ารถขนาดที่เหมาะสม

ขนาดรถก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน หลังเลือกเส้นทางที่ต้องการไปแล้ว การเลือกเช่ารถที่เหมาะสมกับภูมิประเทศในการเดินทาง ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม ต้องเช็กให้ดีว่าถนนมีความยากง่ายแค่ไหน เป็นทางลูกรังไหม มีความขรุขระเยอะหรือเปล่า แล้วจึงค่อยมาเลือกรถในการเดินทางว่าต้องเป็นแบบยกสูงไหม หรือแค่รถธรรมดาก็เดินทางได้ 

3. วางงบประมาณให้ดี

งบประมาณ และค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทาง รวมไปถึงเงินสำรองฉุกเฉิน เป็นสิ่งที่ต้องคิดเผื่อไว้ด้วย นอกจากค่ากิน ค่าที่พัก หรือค่าน้ำมันแล้ว ควรเผื่อเงินสำรองไว้กรณีรถมีปัญหา ของหาย หรือต้องซื้อของใช้อื่นเสริมเข้ามาระหว่างทริปไว้ด้วย เพราะทุกการเดินทางมักเกิดเรื่องไม่คาดคิดอยู่เสมอ 

4. จองที่พักล่วงหน้า

ค่ำไหนนอนนั่น อาจจะเป็นวลีที่หลายคนชื่นชอบ แต่ต้องไม่ลืมว่าความปลอดภัยคือสิ่งสำคัญ การเดินทางโดยไม่วางแผนว่าจะแวะที่ไหนระหว่างทางนั้นทำได้ แต่การไม่จองที่พัก แล้วเลือกที่จะจอดนอนตามสถานที่โล่งแจ้ง หรือขับเข้าไปหาที่พักเอง เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างมาก เพราะนอกจากจะลำบากในการหาแล้ว อาจจะเสี่ยงโดนปล้นเอาได้ หากไปจอดสุ่มสี่สุ่มห้าในที่เปลี่ยว 

5. เก็บของมีค่าไว้กับตัวตลอดเวลา

ของมีค่าที่เป็นเงิน โทรศัพท์มือถือ หรือบัตรเครดิตต่าง ๆ ควรพกติดตัวไปเสมอ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ในรถในขณะแวะจอดตามจุดต่าง ๆ เพราะมีความเสี่ยงที่จะโดนขโมย หรืออาจสูญหายจนทำให้ทริปล่มได้ จึงควรมีกระเป๋าสะพาย หรือเป้แยกเอาไว้เวลาลงจากรถจะดีกว่า 

6. เลือกที่จอดที่ปลอดภัย

นอกจากต้องมีที่พักเป็นหลักแหล่งแล้ว การเลือกที่จอดในที่ปลอดภัยตลอดการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นการจอดแวะทำธุระส่วนตัว หรือแม้แต่ลงไปชมวิวข้างทาง ก็ควรมองรอบ ๆ ให้ดีว่าดูสุ่มเสี่ยงหรือไม่ โดยเฉพาะในช่วงหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ที่จะขอความช่วยเหลือได้ยาก จึงควรเลี่ยงจอดในที่ลับตาคนจะดีที่สุด  

7. หมั่นตรวจเช็กสภาพรถทุกเช้า 

อีกหนึ่งจุดสำคัญก็คือรถ เพราะเป็นยานพาหนะที่ต้องใช้เดินทางทุกวัน จึงควรตรวจเช็กลมยาง น้ำหล่อเย็น น้ำมันเครื่อง และเสียงเครื่องยนต์ ว่ามีอาการผิดปกติจากเดิมไหม เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางตลอดทั้งทริป เพราะเราไม่รู้ว่าจะขับผ่านในจุดไหนบ้างที่เปลี่ยว หากเสียกลางทางขึ้นมา อาจจะขอความช่วยเหลือได้ยาก หรือหากขอได้ ก็อาจจะมีค่าใช้จ่ายที่แพงในการลากรถไปซ่อมอยู่ดี 

อยากเที่ยวแบบ Road Trip ควรทำประกันภัยรถยนต์ชั้นไหน

สำหรับคนที่สะดวกในการใช้รถตัวเองเดินทาง และไม่ชอบเช่ารถขับ การเลือกทำประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ให้ความคุ้มครองแบบไม่มีคู่กรณี ในกรณีที่ขับชนต้นไม้ หรือถอยชนอะไร ก็ยังได้รับความคุ้มครองตรงจุดนี้ หรือหากอยากได้ความคุ้มครองด้านภัยธรรมชาติ อย่างน้ำท่วม ดินถล่ม หรือลูกเห็บตกใส่ แต่เป็นคนขับรถคล่องอยู่แล้ว การเลือกทำประกันชั้น 2+ ก็เป็นตัวเลือกที่ดีไม่แพ้กันในราคาค่าเบี้ยที่ถูกกว่า 

สรุปบทความ การเที่ยวแบบ Road Trip คืออะไร ทำไมควรทำประกันภัยรถยนต์ติดไว้

แม้ว่าการเดินทางท่องเที่ยวในปัจจุบัน จะมีความปลอดภัยมากขึ้นเยอะเมื่อเทียบกับสมัยก่อน แต่การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทาง และเลือกทำประกันภัยรถยนต์ให้ตอบโจทย์ ก็เป็นสิ่งที่คนใช้รถไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด เพราะเราไม่รู้ว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และถ้าเกิดขึ้นจริง อย่างน้อย ๆ เราก็ยังได้รับความคุ้มครองโดยที่ไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายเพิ่มเองทั้งหมด ซึ่งเป็นการช่วยประหยัดเงินก้อนไปได้มากกว่าที่คิดเลยทีเดียว

check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย

© Copyright 2023 บริษัท อินชัวร์เวิร์ส จำกัด (มหาชน)