vertical_align_top
keyboard_arrow_leftย้อนกลับ
7 จุดสำคัญเมื่อเข้าเช็กระยะรถยนต์

7 จุดสำคัญเมื่อเข้าเช็กระยะรถยนต์

schedule
share
7 จุดสำคัญเมื่อเข้าเช็กระยะรถยนต์

การบำรุงรักษารถยนต์เป็นสิ่งที่เจ้าของรถควรพึงกระทำ เพราะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่ารถยนต์ของคุณทำงานได้เต็มสมรรถนะประสิทธิภาพ ภายใต้การใช้งานที่ปลอดภัย มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น ความปลอดภัยและนี่คือ 7 จุดสำคัญที่ควรตรวจสอบเมื่อนำรถเข้าเช็กระยะรถยนต์

1. น้ำมันเครื่อง

น้ำมันเครื่องเป็นสิ่งที่ควรได้รับการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ไม่เพียงแต่ต้องรอให้ครบระยะเสมอไป เพื่อให้มั่นใจว่าภายในระบบหล่อลื่นระดับน้ำมันเครื่องยังคงปกติดีหรือไม่ สีของน้ำมันเครื่องยังคงใสหรือว่าดำสนิท ซึ่งการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องในแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับชนิดและประเภทของน้ำมันเครื่องที่ใช้ ดังนี้

  • น้ำมันเครื่องธรรมดา มีระยะตรวจเช็กประมาณ 5,000 กิโลเมตร
  • น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ มีระยะตรวจเช็กประมาณ 7,000 กิโลเมตร
  • น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ มีระยะตรวจเช็กประมาณ 10,000 กิโลเมตร

2. ระบบเบรก

ระบบเบรก หมายถึงระบบที่เกี่ยวข้องกับการห้ามล้อทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นจานเบรก, ผ้าเบรก, น้ำมันเบรก เพื่อให้มั่นใจว่าระบบเบรกของรถยังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีความผิดปกติใด เช่น เสียงดัง, เบรกไม่อยู่, รถไหลเมื่อใส่เบรกมือ เจ้าของรถจะต้องให้ช่างตรวจสอบระบบเบรกทุกครั้งที่เข้ารับการเช็กระยะรถยนต์เพื่อรักษาประสิทธิภาพการเบรกที่มั่นใจและปลอดภัย

3. ของเหลวอื่น ๆ

ของเหลวอื่น ๆ หมายถึงของเหลวที่จำเป็นซึ่งมีอยู่หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเกียร์, น้ำมันเฟืองท้ายที่ต้องคอยเปลี่ยนทุก ๆ 20,000 – 30,000 กิโลเมตร, น้ำฉีดกระจกรถ, น้ำยาหล่อเย็นในหม้อน้ำรถยนต์, น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ ซึ่งในการเข้ารับบริการหรือให้อู่รถยนต์ตรวจเช็กประสิทธิภาพรถยนต์จำเป็นที่จะต้องเช็คและเปลี่ยนตามคู่มือรถกำหนดมาทุกครั้ง

4. ไฟส่องสว่างและไฟสัญญาณ

ระบบไฟส่องสว่างและไฟสัญญาณควรได้รับการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอและเปลี่ยนเมื่อพบว่าหลอดไฟมีปัญหาหรือเสื่อมสภาพ ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า, ไฟเบรก, ไฟเลี้ยว, ไฟตัดหมอก เพื่อรักษาทัศนวิสัยในการขับขี่ยามค่ำคืนและปฏิบัติตามกฎจราจร

5. ระบบปรับอากาศในรถ

ระบบปรับอากาศในรถ รวมถึงเครื่องปรับอากาศ ไส้กรองอากาศ น้ำยาแอร์ จำเป็นจะต้องได้รับการตรวจสอบและทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะไส้กรอกอากาศจะต้องได้รับการเปลี่ยนตามคำแนะนำหรือตามคู่มือรถ รวมถึงการล้างและทำความสะอาดแอร์ที่จะต้องทำทุก ๆ 30,000 กิโลเมตรหรือ 1 ปี เพื่ออากาศที่สะอาดและสดชื่นและยังเป็นการช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงลงด้วย

6. ยางรถยนต์และแรงดันลม

ยางรถยนต์ควรได้รับการตรวจสอบและสลับล้อทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร เพื่อให้มั่นใจว่าหน้ายางสึกหรอเท่ากันไม่มีฝั่งใดฝั่งหนึ่งสึกหรอมากกว่า ในส่วนของแรงดันลมควรตรวจเช็กสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพราะแรงดันลมจะค่อย ๆ หายไปประมาณ 2-3 ปอนด์ต่อเดือน  ดังนั้นเพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานของรถและช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง จึงควรเช็กและเติมลมยางอย่างสม่ำเสมอ

7. แบตเตอรี่

ควรตรวจสอบแบตเตอรี่อยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะแบตเตอรี่ชนิดเติมน้ำกลั่นที่ต้องหมั่นตรวจเช็กและคอยเติมน้ำกลั่นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ในขณะที่แบตเตอรี่ประเภทอื่น ๆ ให้ทำการตรวจสอบลักษณะภายนอกว่าผิดรูป บวม ปูดหรือบิดเบี้ยวไปจากเดิมหรือไม่ หากพบความผิดปกติควรทำเปลี่ยนในทันที เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะตามมาโดยที่คุณไม่คาดคิด

อย่างไรก็ตาม รายการตรวจเช็กระยะรถยนต์ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงบางส่วนที่ควรได้รับการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอเมื่อเข้ารับบริการ ยังไม่รวมถึงอะไหล่อื่น ๆ ที่มีระยะการตรวจเช็กยาวนานกว่า เช่น สายพานหน้าเครื่อง, สายพานไทม์มิ่ง, ปั๊มน้ำ และอื่น ๆ เพื่อให้มั่นใจว่ารถของคุณยังมีสมรรถนะที่ดีเยี่ยม สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงอันตรายและอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้น

นอกจากนี้ หากมีประกันรถยนต์ที่คอยดูแลและให้ความคุ้มครองตลอดเวลาในการขับขี่ insurverse ประกันรถยนต์ออนไลน์ ในเครือทิพย ยินดีให้บริการ ด้วยกรมธรรม์ประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ทั้งประกันรถชั้น 1 หรือ ประกันรถชั้น 2+ หรือ 3+ / 3 สามารถซื้อประกันรถยนต์ผ่านเว็บไซต์ insurverse ได้แล้ววันนี้ พร้อมรับความคุ้มครองทันที เช็กเบี้ยประกันรถได้ที่นี่!

check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย

© Copyright 2023 บริษัท อินชัวร์เวิร์ส จำกัด (มหาชน)