vertical_align_top
keyboard_arrow_leftย้อนกลับ
ไปจีนต้องเตรียมอะไรบ้าง เช็กลิสต์สำคัญก่อนออกเดินทาง

ไปจีนต้องเตรียมอะไรบ้าง เช็กลิสต์สำคัญก่อนออกเดินทาง

schedule
share

คิดจะไปเที่ยวจีนกันใช่ไหม? ประเทศนี้ไม่ได้มีดีแค่กำแพงเมืองจีนหรือหมีแพนด้าน่ารัก ๆ นะ แต่ยังเต็มไปด้วยความหลากหลาย ทั้งวัฒนธรรมสุดขลัง อาหารอร่อย ๆ และวิวธรรมชาติที่อลังการแบบเกินเบอร์! แต่ก่อนจะเก็บกระเป๋า ลองเช็กลิสต์นี้ก่อนว่าจะต้องเตรียมอะไรไปบ้าง ทั้งเอกสาร แอปที่ต้องมี หรือของสำคัญอื่น ๆ ที่ถ้าพลาด อาจทำให้ทริปจีนในฝันสะดุดได้

เอกสารต้องพร้อม เช็กก่อนบิน จะได้ไม่โป๊ะ!

ถ้ากำลังแพ็คกระเป๋าเตรียมลุยจีน สิ่งแรกที่ห้ามลืมเด็ดขาดคือเอกสารสำคัญ

  • หนังสือเดินทาง (Passport): ต้องเช็กให้ดีว่าเหลืออายุใช้งานไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ไม่งั้นอาจโดนปฏิเสธตั้งแต่เคาน์เตอร์สนามบิน อายุมากกว่า 6 เดือนถือว่าเซฟสุด เพราะบางสายการบินอาจมีเงื่อนไขเฉพาะ
  • ตั๋วเครื่องบิน: ต้องจองไป-กลับให้เรียบร้อย อย่าคิดจองแค่ขาไปแล้วค่อยซื้อตั๋วกลับ เพราะที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองจีนอาจถามหาเอกสารนี้
  • เอกสารการจองที่พัก: โรงแรมทุกแห่งในจีนไม่ได้รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ควรเช็กกับที่พักล่วงหน้าว่าเขายอมรับผู้เข้าพักจากต่างชาติหรือไม่ พร้อมปริ้นเอกสารการจองไปด้วยเพื่อความชัวร์

ฟรีวีซ่า แต่มีเงื่อนไข! จำไว้จะได้ไม่พลาด

ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 คนไทยเที่ยวจีนได้ง่ายขึ้นมาก เพราะไม่ต้องขอวีซ่า แต่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขเหล่านี้

  • สามารถพำนักในจีนได้ ไม่เกิน 30 วันต่อครั้ง
  • ในช่วงเวลา 180 วัน (หรือ 6 เดือน) การพำนักรวมกันต้องไม่เกิน 90 วัน หากเดินทางหลายครั้ง เช่น ไปเที่ยว 3 รอบ แต่ละรอบอยู่ 30 วัน รวมกันแล้วครบ 90 วันใน 6 เดือน แบบนี้ถือว่าครบโควต้า ต้องรอ 6 เดือนถึงจะเข้าจีนใหม่ได้
  • ถ้าไปทำงาน เรียน หรือพำนักระยะยาว ต้องขอวีซ่าประเภทอื่นล่วงหน้า ห้ามใช้วีซ่าฟรี

แอปที่ต้องมี! ตัวช่วยชีวิตในจีน

เที่ยวจีนแบบราบรื่นต้องมีแอปพลิเคชันเหล่านี้ติดเครื่องไว้ เตรียมไว้ก่อนบินจะช่วยประหยัดเวลาและลดความกังวล

  • Google Translate: ใช้แปลภาษาแบบเรียลไทม์ แค่เปิดกล้องก็แปลป้ายภาษาจีนให้เป็นภาษาไทยหรืออังกฤษได้ทันที แต่ควรโหลดภาษาจีนไว้ใช้งานแบบออฟไลน์ เผื่ออินเทอร์เน็ตไม่เสถียร
  • Baidu Translate: แอปนี้เหมาะกับภาษาจีนโดยเฉพาะ เพราะแปลได้แม่นยำและครอบคลุมศัพท์เฉพาะมากกว่า Google
  • WeChat: นอกจากแชทแล้ว WeChat ยังใช้จ่ายเงินในจีนได้ง่ายมาก เพียงแค่ผูกบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตจากไทย
  • Alipay: อีกแอปยอดฮิตสำหรับการชำระเงิน โดยเฉพาะในร้านค้าเล็ก ๆ หรือแผงลอยที่รับจ่ายผ่านแอปนี้เท่านั้น
  • Baidu Maps: ใช้สำหรับนำทางในจีนแทน Google Maps ซึ่งอาจใช้งานไม่ได้ในบางพื้นที่
  • Didi: แอปเรียกรถเหมือน Grab ใช้งานง่าย สะดวก และมีภาษาอังกฤษรองรับ
  • China Train Booking: แอปจองตั๋วรถไฟในจีนที่ใช้งานง่ายและรองรับภาษาอังกฤษ เหมาะสำหรับคนที่เดินทางข้ามเมือง

เตรียมตัวเรื่องเงิน ใช้เงินยังไงในจีน?

จีนเป็นประเทศที่การชำระเงินส่วนใหญ่ใช้ระบบดิจิทัลเป็นหลัก ดังนั้นต้องเตรียมตัวเรื่องการใช้เงินให้พร้อม

  • WeChat Pay และ Alipay: โหลดทั้งสองแอปนี้ไว้ ผูกบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตได้เลย เหมาะสำหรับซื้อของ สั่งอาหาร จ่ายค่ารถไฟ หรือแม้แต่ซื้อของจากร้านข้างทาง
  • TrueMoney Wallet: เป็นตัวเลือกเสริมที่ดี ใช้จ่ายผ่าน Alipay+ ได้เหมือนคนจีน แต่เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากเปิดบัญชี WeChat หรือ Alipay
  • เงินสด: ยังจำเป็นสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น ซื้อของจากร้านเล็ก ๆ หรือใช้จ่ายในพื้นที่ชนบท ควรแลกเงินหยวน (CNY) ติดกระเป๋าไว้สัก 500-1,000 หยวน

ปลั๊กไฟที่จีน ใช้แบบไหน เตรียมอะไร?

การเตรียมปลั๊กไฟเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะแม้จีนจะใช้ไฟ 220 โวลต์เหมือนไทย แต่หัวปลั๊กต่างกัน ควรพกปลั๊กแบบนี้ติดตัวไปด้วย

  • Type A: หัวปลั๊กแบบสองขาแบนที่เราคุ้นเคย ใช้งานได้ในหลายพื้นที่
  • Type I: หัวปลั๊กแบบสามขาแบน อาจพบในบางโรงแรมหรือพื้นที่ชนบท เพื่อความปลอดภัย ควรมี Universal Adapter หรือหัวแปลงปลั๊กไฟที่รองรับทุกประเภทไปด้วย จะได้ไม่มีปัญหากับการชาร์จมือถือหรือโน้ตบุ๊ก

สภาพอากาศในจีน เตรียมชุดยังไงให้รอด?

จีนเป็นประเทศใหญ่มาก อากาศแตกต่างกันสุดขั้วในแต่ละภูมิภาค จึงต้องเช็กอุณหภูมิของเมืองปลายทางก่อน

  • ฤดูใบไม้ผลิ (เมษายน-มิถุนายน): อุณหภูมิเฉลี่ย 11-17 องศาเซลเซียส อากาศกำลังดี ใส่เสื้อแขนยาวหรือแจ็กเก็ตเบา ๆ ได้
  • ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-ตุลาคม): เป็นช่วงที่อากาศเย็นสบาย ใบไม้เปลี่ยนสี เหมาะกับการเที่ยวแบบชิล ๆ ควรเตรียมเสื้อคลุมหรือเสื้อกันลมไปด้วย
  • ฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์): บางพื้นที่หนาวจัด เช่น ปักกิ่งอาจติดลบจนมีหิมะ ควรมีเสื้อโค้ทหนา ถุงมือ และผ้าพันคอ แผ่นแปะร้อนก็เป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับคนขี้หนาว

การใช้อินเทอร์เน็ตในจีน ต้องเตรียมยังไงให้เน็ตไม่ล่ม?

การใช้อินเทอร์เน็ตในจีนอาจจะดูยุ่งยากไปบ้างเพราะจีนบล็อกบริการจาก Google, Facebook, และ Instagram แต่ไม่ต้องห่วงเพราะเรามีตัวช่วย

  • eSIM หรือซิมการ์ดจากไทย: ซิมจากไทยใช้ง่ายและสะดวกกว่า เพราะซิมที่ซื้อในจีนอาจต้องลงทะเบียนซับซ้อน และบางครั้งใช้งานโซเชียลไม่ได้
  • Pocket WiFi: ถ้าเดินทางหลายคน อุปกรณ์นี้ช่วยได้เยอะ ใช้แชร์เน็ตกันได้หลายเครื่อง แต่ต้องหมั่นชาร์จแบตเตอรี่ของตัวเครื่อง
  • เปิด Roaming: แม้จะแพงกว่าเล็กน้อย แต่คุณสามารถใช้งานเบอร์เดิมได้และไม่ต้องเปลี่ยนซิมให้ยุ่งยาก
  • VPN: หากต้องการเข้าถึงบริการที่ถูกบล็อก เช่น Google หรือ Instagram การติดตั้ง VPN เป็นเรื่องสำคัญมาก ควรเลือก VPN ที่มีคุณภาพดีและเสถียรเพื่อให้ใช้งานได้จริง

การเดินทางในจีน

  • รถไฟใต้ดิน: ระบบขนส่งที่รวดเร็วและประหยัดมาก ราคาเริ่มต้นที่ 3 หยวน เหมาะสำหรับเที่ยวในเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้
  • รถไฟความเร็วสูง: ทางเลือกสำหรับเดินทางระหว่างเมือง ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 350 กม./ชม. ใช้เวลาเดินทางสั้นมากเมื่อเทียบกับรถบัส
  • แท็กซี่: ค่าโดยสารเริ่มต้นประมาณ 13 หยวนสำหรับ 3 กิโลเมตรแรก หากพูดภาษาจีนไม่ได้ สามารถใช้แอป Didi เพื่อความสะดวก

แม้ว่าคุณจะเตรียมตัวสำหรับการเดินทางแล้ว แต่บางครั้งอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นได้ ประกันเดินทางต่างประเทศจาก insurverse มีแผนประกันที่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลในต่างประเทศ ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย ให้คุณท่องเที่ยวได้อย่างสบายใจ

สิ่งของต้องห้ามนำเข้าจีน

  1. สินค้าลิขสิทธิ์
    ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแบรนด์เนม เช่น รองเท้า กระเป๋า หรือแม้แต่สินค้าลอกเลียนแบบ หากไม่มีใบอนุญาตจากเจ้าของสิทธิ์ จะถูกยึดทันที แถมอาจมีโทษทางกฎหมาย
  2. อาวุธและวัตถุอันตราย
    สิ่งของอย่างปืน มีด หรือวัตถุที่สามารถใช้เป็นอาวุธ รวมถึงสารเคมีหรือวัตถุไวไฟ เป็นสิ่งต้องห้าม หากตรวจพบจะถูกยึดและมีโทษตามกฎหมาย
  3. สินค้าที่เกี่ยวกับเพศ
    เช่น เซ็กซ์ทอย ตุ๊กตายาง หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ถือว่าผิดกฎหมายในจีนและจะถูกกักที่ศุลกากร
  4. ยารักษาโรค
    การนำเข้ายาใด ๆ ต้องมีใบอนุญาตพร้อมเอกสารรับรอง เช่น ใบวิเคราะห์ส่วนประกอบหรือเอกสารกำกับยา หากไม่มีจะไม่สามารถนำเข้าได้
  5. เครื่องเล่นเกมและตู้คีบตุ๊กตา
    สิ่งของเหล่านี้เข้าข่ายผิดกฎหมายเกี่ยวกับการพนันในจีน หากถูกตรวจจะถูกยึดและทำลาย
  6. สารเสพติดและบุหรี่ไฟฟ้า
    รวมถึงส่วนประกอบที่เกี่ยวข้อง หากตรวจพบจะถูกดำเนินคดีทันที
  7. ธนบัตรหรือเงินตราต่างประเทศ
    การนำเข้า-ส่งออกเงินตราหรือธนบัตรต้องได้รับอนุญาต ไม่เช่นนั้นถือว่าผิดกฎหมาย
  8. พืชและส่วนต่าง ๆ ของพืช
    เช่น เมล็ดพันธุ์ หรือดอกไม้ ต้องมีใบรับรองจากกรมวิชาการเกษตร
  9. ซากสัตว์และสัตว์มีชีวิต
    การนำเข้าต้องมีใบรับรองจากกรมปศุสัตว์ หากไม่มีถือว่าผิดกฎหมาย
  10. สินค้าอันตรายและสารเคมี
    วัตถุที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์หรือสิ่งแวดล้อม เช่น สารเคมีบางชนิด ต้องได้รับอนุญาตก่อนนำเข้า
  11. อาหาร ยา เครื่องสำอาง และเครื่องดื่ม
    การนำเข้าต้องมีใบรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
  12. บุหรี่ ยาสูบ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    การนำเข้าต้องผ่านการอนุญาตและเสียภาษี หากไม่มีเอกสารที่ถูกต้องจะถูกยึด
  13. เครื่องมือสื่อสารและอุปกรณ์โทรคมนาคม
    การนำเข้าต้องมีใบรับรองจาก กสทช

การรู้ประโยคพื้นฐานช่วยให้ทริปของคุณราบรื่น แต่ถ้าเจอสถานการณ์ไม่คาดฝัน เช่น กระเป๋าเดินทางหาย insurverse ก็พร้อมซัพพอร์ตเต็มที่ในราคาสบายกระเป๋า อย่าลืม เช็กเบี้ยประกันเดินทาง จากเรา เริ่มต้นแค่ 59 บาท คุ้มครองครบทุกเหตุการณ์

แนะนำเมืองน่าเที่ยวในประเทศจีน

  1. ปักกิ่ง (Beijing) – เมืองหลวงสุดคลาสสิก
    ที่นี่รวมทุกอย่างทั้งประวัติศาสตร์และความทันสมัย! ต้องไม่พลาดชม พระราชวังต้องห้าม (Forbidden City) หรือไปเดินเล่นที่ จัตุรัสเทียนอันเหมิน (Tiananmen Square) และที่เด็ดที่สุดคือ กำแพงเมืองจีน (Great Wall) ใกล้ ๆ ปักกิ่ง เดินชมวิวไปก็ได้ออกกำลังกายไปด้วย
  2. เซี่ยงไฮ้ (Shanghai) – เมืองใหญ่สุดล้ำ
    ถ้าชอบแสงสีและเทคโนโลยีต้องมาเซี่ยงไฮ้ เดินเล่นริมแม่น้ำหวงผู่ที่ เดอะบันด์ (The Bund) หรือขึ้นไปชมวิวเมืองจาก หอไข่มุกตะวันออก (Oriental Pearl Tower) ใครเป็นสายช้อปปิ้ง ถนนนานจิงคือสวรรค์เลย!
  3. เฉิงตู (Chengdu) – เมืองแห่งแพนด้าและอาหารเผ็ด
    ที่นี่คือบ้านของ ศูนย์อนุรักษ์แพนด้ายักษ์ แถมยังเป็นสวรรค์ของคนรักอาหารเผ็ด เพราะเป็นต้นตำรับหม้อไฟหม่าล่า เที่ยวธรรมชาติสวย ๆ ก็ต้องไป อุทยานจิ่วจ้ายโกว (Jiuzhaigou) ที่ขึ้นชื่อเรื่องทะเลสาบสีฟ้าใส
  4. ซีอาน (Xi’an) – เมืองมรดกโลก
    มาเดินชมกำแพงเมืองโบราณที่ยังสมบูรณ์ที่สุดในจีน และอย่าลืมไปดู ทหารดินเผา (Terracotta Army) ที่โด่งดังระดับโลก พร้อมแวะชิมของกินในย่านมุสลิม นี่คือจุดที่ประวัติศาสตร์และอาหารรวมกันอย่างลงตัว
  5. กุ้ยหลิน (Guilin) – ธรรมชาติอลังการ
    ใครชอบวิวเขาสวย ๆ และแม่น้ำ ต้องมาที่นี่ ล่องเรือใน แม่น้ำหลีเจียง (Li River) หรือไปเดินเล่นที่ เขาเซียงกง (Xiang Gong Hill) วิวที่นี่เหมือนภาพวาดจีนโบราณเลย
  6. หางโจว (Hangzhou) – เมืองแห่งความโรแมนติก
    สายชิลต้องหลงรัก ทะเลสาบซีหู (West Lake) บรรยากาศสงบโรแมนติกเหมาะสำหรับการเดินเล่นหรือปั่นจักรยานรอบ ๆ ใครชอบชาเขียวต้องแวะไปชิมชาหลงจิ่งที่ขึ้นชื่อที่สุดในจีน
  7. ลี่เจียง (Lijiang) – เมืองโบราณสุดชิค
    เมืองเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของบ้านเรือนแบบจีนโบราณ เดินเล่นใน เมืองเก่าลี่เจียง (Lijiang Old Town) หรือขึ้นไปชมวิวภูเขาหิมะที่ ภูเขาหิมะมังกรหยก (Jade Dragon Snow Mountain)
  8. ฮาร์บิน (Harbin) – เมืองแห่งหิมะและน้ำแข็ง
    ถ้ามาช่วงหน้าหนาวต้องแวะ เทศกาลแกะสลักน้ำแข็ง (Harbin Ice and Snow Festival) ที่นี่เหมือนแดนมหัศจรรย์ฤดูหนาวของจริง!

พร้อมลุยจีนแบบจัดเต็มแล้วหรือยัง? แค่เตรียมตัวให้ครบ ทั้งเอกสาร แอปที่ต้องโหลด อุปกรณ์จำเป็น และอย่าลืมเรียนรู้คำภาษาจีนง่าย ๆ ไว้ใช้งานจริง เท่านี้ก็มั่นใจได้เลยว่าทริปนี้จะไม่มีคำว่าพลาด เตรียมซึมซับประสบการณ์สุดพิเศษ ไม่ว่าจะเดินกำแพงเมืองจีน กินหม่าล่าที่เฉิงตู หรือถ่ายรูปวิวสวย ๆ ในกุ้ยหลิน คุณจะต้องหลงรักจีนจนอยากกลับมาอีกแน่นอน

5 คำถามที่พบบ่อย

ต้องขอวีซ่าไปจีนไหม?

คนไทยไม่ต้องขอวีซ่า หากพำนักไม่เกิน 30 วัน แต่ต้องเช็กเงื่อนไขเรื่องระยะเวลารวมใน 6 เดือน (ไม่เกิน 90 วัน)

ใช้เงินสดหรือแอปจ่ายเงินที่จีนสะดวกกว่ากัน?

แอปจ่ายเงินอย่าง WeChat Pay และ Alipay สะดวกที่สุด แต่ควรพกเงินสดเผื่อฉุกเฉินด้วย

อินเทอร์เน็ตในจีนใช้งานยังไง?

ซื้อ eSIM หรือ Pocket WiFi จากไทย พร้อมติดตั้ง VPN เพื่อใช้งานแอปที่ถูกบล็อก เช่น Google หรือ Facebook

ปลั๊กไฟในจีนใช้แบบไหน?

ใช้ปลั๊ก Type A และ Type I ควรพก Universal Adapter เพื่อความสะดวก

ควรเตรียมเสื้อผ้ายังไง?

เช็กสภาพอากาศของเมืองที่ไปล่วงหน้า ฤดูหนาวควรมีเสื้อโค้ทหนา ฤดูใบไม้ผลิหรือใบไม้ร่วงเตรียมเสื้อคลุมเบา ๆ ก็เพียงพอ!

check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย