vertical_align_top
keyboard_arrow_leftย้อนกลับ
รายได้เท่าไหร่เสียภาษี

รายได้เท่าไหร่เสียภาษี? สรุปเกณฑ์รายได้และวิธีคำนวณภาษีให้เข้าใจง่าย

schedule
share

รายได้เท่าไหร่ถึงต้องเสียภาษี? คำถามที่หลายคนสงสัย โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเริ่มทำงานหรือเพิ่งเริ่มมีรายได้พิเศษ การเข้าใจเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ช่วยให้คุณวางแผนการเงินได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยป้องกันปัญหาเรื่องภาษีในอนาคต เพราะไม่ใช่แค่มีรายได้แล้วจะเสียภาษีเสมอไป ยังมีเกณฑ์และเงื่อนไขที่ควรรู้ บทความนี้จะช่วยให้คุณเคลียร์ทุกข้อสงสัยแบบเข้าใจง่ายที่สุด

รายได้ต้องเสียภาษี เริ่มต้นที่เท่าไหร่?

สำหรับคนที่เริ่มทำงานหรือยังงง ๆ กับระบบภาษี สิ่งที่ควรรู้คือ รายได้ขั้นต่ำที่ทำให้คุณต้องเสียภาษีขึ้นอยู่กับสถานะบุคคล เช่น คนโสด หรือคนสมรส รายได้พึงประเมินขั้นต่ำที่ต้องยื่นภาษีคือ

  1. คนโสด: ถ้ามีเงินได้สุทธิ (รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน) เกิน 150,000 บาท/ปี
  2. คนสมรส: ถ้ามีรายได้สุทธิรวมกันเกิน 300,000 บาท/ปี

หมายความว่า ถ้ารายได้คุณน้อยกว่าเกณฑ์นี้ ก็ยังไม่ต้องเสียภาษี

tax and money

วิธีคำนวณภาษีแบบเข้าใจง่าย

คิดภาษีไม่ยากอย่างที่หลายคนกลัว หลักการมีแค่ 3 ขั้นตอน

1. หาเงินได้สุทธิ

เริ่มจากการนำ รายได้ทั้งหมด ที่คุณมีมาตลอดปี เช่น เงินเดือน โบนัส ค่าจ้างพิเศษ หรือรายได้จากธุรกิจ มาหักออกด้วยค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนตามที่กฎหมายกำหนด เช่น

  • ค่าใช้จ่าย: หักได้ 50% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
  • ค่าลดหย่อน: เช่น ลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท หรือค่าประกันชีวิตและค่าลดหย่อนอื่น ๆ

ตัวอย่าง

  • รายได้ปีละ 500,000 บาท
  • หักค่าใช้จ่าย 100,000 บาท
  • หักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
    เงินได้สุทธิ = 500,000 – 100,000 – 60,000 = 340,000 บาท

2. คำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้า

ไทยใช้ระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบขั้นบันได ซึ่งอัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นตามเงินได้สุทธิ

ช่วงเงินได้สุทธิ (บาท)อัตราภาษี (%)วิธีคำนวณภาษี
0 – 150,0000%ยกเว้นภาษี
150,001 – 300,0005%(เงินได้สุทธิ – 150,000) × 5%
300,001 – 500,00010%[(เงินได้สุทธิ – 300,000) × 10%] + 7,500
500,001 – 750,00015%[(เงินได้สุทธิ – 500,000) × 15%] + 27,500
750,001 – 1,000,00020%[(เงินได้สุทธิ – 750,000) × 20%] + 65,000
1,000,001 – 2,000,00025%[(เงินได้สุทธิ – 1,000,000) × 25%] + 115,000
2,000,001 – 5,000,00030%[(เงินได้สุทธิ – 2,000,000) × 30%] + 365,000
มากกว่า 5,000,00035%[(เงินได้สุทธิ – 5,000,000) × 35%] + 1,265,000

ตัวอย่างการคำนวณ
เงินได้สุทธิ 340,000 บาท

  • ขั้นแรก: 0 – 150,000 บาท (ไม่เสียภาษี)
  • ขั้นสอง: 150,001 – 300,000 บาท = (300,000 – 150,000) x 5% = 7,500 บาท
  • ขั้นสาม: 300,001 – 340,000 บาท = (340,000 – 300,000) x 10% = 4,000 บาท
    ภาษีที่ต้องจ่าย = 7,500 + 4,000 = 11,500 บาท

3. เปรียบเทียบกับวิธีคิดแบบเหมา

สำหรับคนที่มีรายได้อื่น ๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าเช่า หรือรายได้จากวิชาชีพอิสระ หากรายได้เหล่านี้รวมกันเกิน 1,000,000 บาท ต้องคำนวณภาษีแบบเหมาด้วย

สูตรภาษีแบบเหมา: (รายได้อื่น ๆ – เงินเดือน) x 0.5%

เมื่อได้ผลลัพธ์ทั้ง 2 วิธี ให้เลือกจ่ายภาษีตามวิธีที่คำนวณแล้วสูงกว่า

วิธีการลดหย่อนภาษีแบบมือโปร จัดการง่าย สบายกระเป๋า

ถ้าพูดให้เข้าใจง่าย การลดหย่อนภาษีก็คือ “ตัวช่วยหักลบกลบรายได้” เพื่อลดจำนวนเงินที่ต้องเสียภาษีในแต่ละปี ไม่ว่าจะเป็นค่าลดหย่อนส่วนตัว ค่าลดหย่อนครอบครัว หรือการลงทุนและบริจาค ซึ่งแต่ละปีกรมสรรพากรก็จะมีการอัปเดตเงื่อนไขและสิทธิใหม่ ๆ ที่ช่วยให้คุณจ่ายภาษีเบาลง

ค่าลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว

หัวข้อนี้เหมาะกับคนที่อยากใช้สิทธิพื้นฐาน ไม่ต้องลงทุนเพิ่ม แค่ใช้สถานะส่วนตัวและครอบครัวช่วยลดภาษี

  • ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
    ใครมีรายได้ก็รับสิทธินี้ได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม
  • ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท
    สำหรับคนที่จดทะเบียนสมรสถูกต้อง และคู่สมรสไม่มีรายได้ คุณก็รับสิทธินี้ไปเต็ม ๆ
  • ค่าลดหย่อนบุตร
    ถ้ามีลูกที่ยังเล็ก หรือลูกที่เรียนอยู่ แต่ไม่เกิน 25 ปี ก็สามารถลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท แต่ถ้าลูกคนที่สองขึ้นไปที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 ลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนพ่อแม่ 30,000 บาท/คน
    ถ้าคุณดูแลพ่อแม่ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30,000 บาท สามารถลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนผู้พิการหรือทุพลภาพ 60,000 บาท
    ใครมีสมาชิกในครอบครัวที่พิการ สามารถลดหย่อนเพิ่มเติมได้ โดยต้องมีบัตรประจำตัวผู้พิการและเอกสารยืนยันสถานะการดูแล

ลดหย่อนภาษีกลุ่มการลงทุนและประกัน

อยากออมเงินไปพร้อมกับลดภาษี ต้องไม่พลาดหัวข้อนี้

  • เบี้ยประกันชีวิต/สะสมทรัพย์
    จ่ายเบี้ยประกันไปแล้ว อย่าลืมใช้สิทธิลดหย่อน สูงสุดถึง 100,000 บาท แต่ต้องมั่นใจว่าแบบประกันที่เลือกมีระยะคุ้มครองอย่างน้อย 10 ปี และต้องทำกับบริษัทในประเทศไทย
  • เบี้ยประกันสุขภาพ
    ลดหย่อนได้สูงสุด 25,000 บาท ถ้ารวมกับเบี้ยประกันชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท
  • กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
    ลงทุนระยะยาวพร้อมวางแผนเกษียณ ลดหย่อนได้สูงสุดถึง 500,000 บาท หรือ 30% ของเงินได้
  • กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)
    เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลงทุนแบบออมเงิน ลดหย่อนได้สูงสุด 200,000 บาท
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD)
    สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่บริษัทมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ลดหย่อนได้สูงสุด 15% ของเงินเดือน
  • ประกันชีวิตแบบบำนาญ
    อีกหนึ่งตัวช่วยเกษียณสบาย ลดหย่อนได้สูงสุด 200,000 บาท

ซื้อประกันกับ insurverse หมดห่วงเรื่องเอกสาร เพราะเราเตรียมทุกอย่างให้ครบ พร้อมให้คุณยื่นภาษีออนไลน์ได้ง่าย ๆ ไม่ต้องยุ่งยาก

ลดหย่อนภาษีจากการบริจาค

การบริจาคไม่เพียงช่วยสร้างบุญ แต่ยังช่วยลดภาษีได้อีกด้วย

  • เงินบริจาคทั่วไป
    ลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้สุทธิ
  • บริจาคเพื่อการศึกษา กีฬา และสถานพยาบาลของรัฐ
    ลดหย่อนได้ 2 เท่าของจำนวนที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้สุทธิ
  • บริจาคให้พรรคการเมือง
    ลดหย่อนได้สูงสุด 10,000 บาท

ลดหย่อนภาษีกระตุ้นเศรษฐกิจ

สิทธิพิเศษที่มักมาพร้อมนโยบายรัฐในแต่ละปี

  • ช้อปดีมีคืน
    ใช้จ่ายสินค้าและบริการที่มี VAT สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 50,000 บาท
  • เที่ยวเมืองรอง
    ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวในจังหวัดรอง ลดหย่อนได้สูงสุด 15,000 บาท

เอกสารที่ต้องเตรียม

การลดหย่อนภาษีจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อมีเอกสารครบถ้วน เช่น

  1. หนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่าย
  2. ใบเสร็จรับเงินหรือเอกสารยืนยันการจ่าย
  3. บัตรประจำตัวผู้พิการหรือหนังสือรับรองอื่น ๆ (ถ้ามี)

วิธียื่นภาษีออนไลน์

เตรียมตัวให้พร้อมก่อนยื่นภาษีออนไลน์

เอกสารที่ต้องเตรียมมีไม่มาก แต่ขาดไม่ได้ ได้แก่

  • ใบ 50 ทวิ: หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งแสดงรายได้ทั้งปีของคุณ
  • รายการลดหย่อนภาษี: เช่น ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่าใช้จ่ายประกันชีวิต หรือเงินบริจาค
  • เอกสารประกอบการลดหย่อน: เช่น ใบเสร็จประกันชีวิต เอกสารกองทุน SSF/RMF

วิธีการยื่นภาษีออนไลน์แบบละเอียด

ยื่นภาษีออนไลน์ง่ายและสะดวก ไม่ต้องเดินทางไปที่กรมสรรพากร แค่ไม่กี่ขั้นตอนก็เสร็จ

1. เข้าเว็บไซต์กรมสรรพากร

เริ่มจากเข้าเว็บไซต์ https://efiling.rd.go.th แล้วเลือก “ยื่นแบบออนไลน์”

2. สมัครสมาชิก

สำหรับคนที่ยังไม่มีบัญชี ต้องสมัครสมาชิกก่อน โดยใช้ข้อมูลส่วนตัว เช่น เลขบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ และอีเมล

3. เข้าสู่ระบบ

กรอกเลขบัตรประชาชนและรหัสผ่านที่ตั้งไว้ พร้อมยืนยันตัวตนด้วยรหัส OTP ที่ส่งไปยังมือถือ

4. เลือกแบบภาษีที่ต้องการยื่น

  • ภ.ง.ด. 91: สำหรับคนที่มีรายได้จากเงินเดือนอย่างเดียว
  • ภ.ง.ด. 90: สำหรับคนที่มีรายได้อื่นร่วมด้วย เช่น รายได้จากการลงทุน การเช่า หรือฟรีแลนซ์

5. กรอกข้อมูลรายได้

ดึงข้อมูลจากใบ 50 ทวิของคุณ เช่น รายได้ทั้งปีและภาษีที่ถูกหักไว้ หากมีรายได้อื่น ๆ เช่น รายได้จากเช่าทรัพย์สิน ให้กรอกเพิ่มในหมวดรายได้อื่น

6. ใส่ค่าลดหย่อน

กรอกค่าลดหย่อนที่คุณมี เช่น

  • ค่าเลี้ยงดูบิดามารดา
  • เงินสมทบประกันสังคม
  • เบี้ยประกันชีวิตและสุขภาพ
  • เงินลงทุนในกองทุน RMF หรือ SSF

7. ตรวจสอบข้อมูล

หลังกรอกข้อมูลครบ ตรวจสอบอีกครั้งเพื่อความถูกต้อง โดยระบบจะคำนวณภาษีให้อัตโนมัติ

8. ยืนยันและส่งแบบ

เมื่อแน่ใจแล้ว กดยืนยันการยื่นแบบ ระบบจะออกใบรับรองการยื่นให้เก็บไว้เป็นหลักฐาน

ทำอย่างไรถ้าต้องชำระภาษีเพิ่ม?

หากระบบแจ้งว่าคุณต้องชำระภาษีเพิ่ม สามารถเลือกชำระผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น

  • QR Code
  • Internet Banking
  • เคาน์เตอร์ธนาคารหรือเซเว่นอีเลฟเว่น

สำหรับยอดชำระตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป สามารถผ่อนจ่ายได้ 3 งวดโดยไม่มีดอกเบี้ย

ขอคืนภาษีที่ชำระเกินทำยังไง?

ถ้าระบบแจ้งว่าคุณชำระภาษีเกิน สามารถขอคืนได้ผ่านพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขบัตรประชาชน หรือเลือกให้ยอดเงินภาษีเกินไปสนับสนุนพรรคการเมือง

tax calculation

สรุป

การเสียภาษีไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด หากคุณเข้าใจหลักการคำนวณอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นภาษีเงินได้หรือแม้กระทั่ง คำนวณภาษีรถยนต์ การวางแผนรายได้ให้ตรงตามเกณฑ์และตรวจสอบรายละเอียดให้ครบถ้วน จะช่วยให้คุณจัดการภาษีได้อย่างง่ายดายและไม่พลาดเรื่องสำคัญ

รวมคำถามที่พบบ่อย

check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย