vertical_align_top
keyboard_arrow_leftย้อนกลับ
การเคลือบแก้วรถยนต์ คืออะไร จำเป็นแค่ไหนกับรถ

การเคลือบแก้วรถยนต์ คืออะไร จำเป็นแค่ไหนกับรถ

schedule
share

เมื่อนึกถึงการดูแลสีรถยนต์ การเคลือบแก้วรถยนต์ น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้ใช้รถหลายคนได้ยินกันบ่อย แต่อาจจะยังไม่รู้ถึงข้อดี และข้อเสียของวิธีนี้กันมากนัก อีกทั้งยังมีการเคลือบเซรามิก ที่ไม่รู้ว่าแตกต่างกันอย่างไรกับเคลือบแก้วด้วยแล้ว ยิ่งอาจเกิดความสับสน และไม่รู้ว่าจะเลือกอย่างไรดี เดี๋ยววันนี้ insurverse เราจะพาไปเจาะลึกถึงเรื่องเคลือบแก้วรถยนต์ว่าดีไหมให้เอง  

เคลือบแก้วรถยนต์ คืออะไร

การเคลือบแก้วรถยนต์ คือ การเพิ่มชั้นเคลือบผิวให้กับตัวถังรถโดยใช้สาร Silicon Dioxide (SiO2) หรือที่เรียกว่าซิลิกา ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักในการผลิตแก้ว วิธีนี้จะช่วยเพิ่มความหนาให้กับชั้นสีของรถ โดยมีระดับความหนาแตกต่างกันไปตั้งแต่ระดับ 1H ถึง 9H ซึ่งยิ่งตัวเลขมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความแข็งแรง และทนทานมากขึ้นเท่านั้น การเคลือบแก้วรถยนต์ จึงไม่เพียงแต่เป็นการปกป้องชั้นผิวรถจากรังสี UV ฝุ่นละออง และมลภาวะต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันรอยขีดข่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ดีอีกด้วย 

การเคลือบแก้วรถยนต์ จำเป็นไหม

ผู้ใช้รถหลายคนอาจสงสัยกันว่า การเคลือบแก้วรถยนต์จำเป็นหรือไม่ คำตอบคือ ไม่จำเป็นเสมอไปสำหรับผู้จอดรถในบ้าน หรือมีที่จอดภายใต้อาคารประจำ การล้างเคลือบสีธรรมดาก็อาจจะเพียงพอแล้ว แต่สำหรับคนที่จอดรถกลางแจ้งอยู่เป็นประจำ การเคลือบแก้วรถยนต์เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยปกป้องสีรถไม่ซีดจางไวกว่าปกติ ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาขายในอนาคตได้ แต่อย่าลืมว่าราคาในการเคลือบแก้วรถยนต์นั้นก็สูงพอตัว เราจึงมักพบเห็นคนกลุ่มคนที่รักรถมาก ๆ เท่านั้น ที่จะใช้วิธีนี้ในการดูแลสีรถเป็นส่วนใหญ่ ไม่ต่างจากการทำประกันรถยนต์ชั้น 1 เลยทีเดียว 

การเคลือบแก้วรถยนต์ มีกี่วิธี

การเคลือบแก้วรถยนต์ มีกี่วิธี

การเคลือบแก้วรถยนต์มีด้วยกัน 2 วิธีหลัก ๆ ได้แก่

  • การเคลือบแบบทา : เป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้ทักษะ และประสบการณ์ของช่างในการทาน้ำยาเคลือบแก้วลงบนตัวถังรถ วิธีนี้อาจใช้เวลานานกว่าการพ่น แต่ก็เป็นวิธีที่สามารถควบคุมคุณภาพได้ดี
  • การเคลือบแบบพ่น : ใช้เครื่องพ่นในการกระจายน้ำยาเคลือบแก้วบนผิวรถ วิธีนี้ทำได้รวดเร็วกว่า และสามารถกระจายน้ำยาได้ทั่วถึง แต่อาจต้องระวังในเรื่องความสม่ำเสมอเป็นหลัก 

เคลือบแก้วกับเคลือบเซรามิก ต่างกันอย่างไร

แม้ว่าการเคลือบแก้ว และเคลือบเซรามิก จะมีจุดประสงค์คล้ายกันในการปกป้องผิวรถ แต่ก็มีความแตกต่างกันในหลาย ๆ จุด ดังนี้ 

  • สารเคลือบ : การเคลือบแก้วจะใช้ Silicon Dioxide (SiO2) ในขณะที่การเคลือบเซรามิกจะใช้ Silicon Carbide (SiC)
  • ความทนทาน : การเคลือบเซรามิกมักจะทนทานกว่า โดยอาจอยู่ได้นานถึง 3 – 5 ปี เมื่อเทียบกับการเคลือบแก้วที่อยู่ได้ประมาณ 1 – 2 ปี
  • ราคา : การเคลือบเซรามิกมักมีราคาสูงกว่าการเคลือบแก้ว
  • การป้องกัน : การเคลือบเซรามิกมักให้การป้องกันที่ดีกว่า ทั้งในแง่ของความทนทานต่อรอยขีดข่วนและการป้องกันสารเคมี

ข้อดี-ข้อเสียของการเคลือบแก้วรถยนต์

ข้อดี-ข้อเสียของการเคลือบแก้วรถยนต์

เมื่อรู้กันไปแล้วว่า เคลือบแก้วรถยนต์ทำได้กี่วิธี และมีความแตกต่างกับเคลือบเซรามิกอย่างไร ทีนี้เรามาดูกันต่อที่ข้อดี และข้อเสียของการเคลือบแก้วกันบ้างว่า มีอะไรที่ต้องพิจารณาก่อนคิดจะทำไหม 

ข้อดีของรถเคลือบแก้ว

  • ช่วยปกป้องสีรถจากรังสี UV และมลภาวะ
  • ทำให้รถดูเงางามและสวยงาม
  • ช่วยให้ทำความสะอาดรถได้ง่ายขึ้น
  • ป้องกันรอยขีดข่วนเล็กๆ น้อยๆ
  • ช่วยรักษามูลค่าของรถ

ข้อเสียของรถเคลือบแก้ว

  • มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง
  • ต้องดูแลรักษาอย่างถูกวิธี
  • อาจไม่เหมาะกับรถเก่าที่สีไม่สมบูรณ์
  • ไม่สามารถป้องกันรอยขีดข่วนรุนแรงได้

เคลือบแก้วรถยนต์ ราคาแพงไหม 

ราคาการเคลือบแก้วรถยนต์นั้นมีความหลากหลาย และขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ขนาดของรถ คุณภาพของน้ำยาที่ใช้ และผู้ให้บริการ โดยทั่วไปราคาอาจอยู่ที่ระหว่าง 7,000 – 60,000 บาท ซึ่งอาจดูเป็นเงินจำนวนที่มาก แต่หากคำนึงถึงอายุการใช้งานที่ยาวนาน และประโยชน์ที่ได้รับ ก็อาจจะเป็นสิ่งที่คุ้มค่าสำหรับผู้ใช้รถหลายคน

ควรดูแลรถที่เคลือบแก้วอย่างไรดี 

แม้ว่ารถที่เคลือบแก้วจะมีการป้องกันที่ดี แต่ก็ยังต้องการการดูแลรักษาที่เหมาะสม เพื่อยืดอายุของน้ำยาที่เคลือบให้อยู่ได้นานที่สุด ซึ่งวิธีในการดูแลทั้งหมด จะมีดังนี้ 

  • ล้างรถสม่ำเสมอด้วยน้ำยาล้างรถที่ไม่ทำลายชั้นฟิล์ม
  • หลีกเลี่ยงการจอดรถกลางแดดเป็นเวลานาน
  • เช็ดทำความสะอาดคราบสกปรกทันทีที่เห็น
  • ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ในการเช็ดรถเพื่อหลีกเลี่ยงรอยขีดข่วน

สรุปบทความ การเคลือบแก้วรถยนต์ คืออะไร จำเป็นแค่ไหนกับรถ

ผู้ใช้รถน่าจะเข้าใจกันแล้วใช่ไหมว่า การเคลือบแก้วรถยนต์นั้นดีไหม และควรลงทุนทำเพื่อดูแลรถหรือเปล่า เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่เราได้นำข้อมูลมาฝากกันในวันนี้ นอกจากเรื่องของการเคลือบสีที่ใช้ในการดูแลรถแล้ว การทำประกันภัยรถยนต์ ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญ ซึ่งหากไม่อยากจ่ายแพงเพราะไม่ใช่รถป้ายแดง ก็สามารถเลือกทำประกันชั้น 2+ เพื่อแบ่งงบไปทำการเคลือบแก้วรถได้เช่นกัน จะได้ปกป้องรถแบบรอบด้านกันไปเลย และถ้ายังไม่รู้จะทำประกันรถยนต์ที่ไหน ต้องที่ insurverse เราเท่านั้น ที่เป็นประกันออนไลน์เจ้าแรกในไทย ที่ปรับแต่งกรมธรรม์ได้ตามต้องการ ตอบโจทย์คนอยากประหยัดค่าเบี้ยประกัน และได้ความคุ้มครองที่ตรงจุดที่สุด 

check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย

© Copyright 2023 บริษัท อินชัวร์เวิร์ส จำกัด (มหาชน)