ใบขับขี่ถือเป็นเอกสารสำคัญสำหรับใช้ยืนยันว่าคุณเป็นผู้ขับขี่รถยนต์ได้ถูกต้องตามกฎหมาย นี่จึงเป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่ต้องมี สำหรับมือใหม่ที่ทำใบขับขี่ครั้งแรก แน่นอนว่าเมื่อครบ 2 ปี จะต้องทำการต่อใบขับขี่ โดยใบขับขี่ใบใหม่ที่จะได้รับมีอายุมากถึง 5 ปี และสำหรับใครที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ต่อใบขับขี่มาก่อน ลองมาดูว่า ต่ออายุใบขับขี่ 2 ปี เป็น 5 ปี ต้องทำอย่างไร ใช้เอกสารอะไร และต้องอบรมใหม่หรือไม่
เชื่อว่าเมื่อใบขับขี่หมดอายุหลายคนอาจรู้สึกกังวลใจเพราะไม่อยากเสียเวลาอบรมใหม่ แต่ต้องบอกว่าการอบรมใบขับขี่ไม่ได้เกิดขึ้นทุกครั้งที่ต่ออายุ โดยผู้ที่ถือใบขับขี่อายุ 2 ปี และต้องการต่ออายุเป็นแบบ 5 ปี ข่าวดีคือไม่ต้องอบรมใหม่ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องเป็นใบขับขี่ที่หมดอายุไม่เกิน 1 ปีเท่านั้น โดยสามารถยื่นคำขอต่ออายุได้ล่วงหน้านานถึง 180 วัน
ทั้งนี้หากใบขับขี่หมดอายุมากกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี จะมีขั้นตอนสอบข้อเขียนเพิ่มเข้ามา และหากใบขับขี่หมดอายุมากกว่า 3 ปี จะมีขั้นตอนสอบข้อเขียน อบรม และทดสอบขับรถเพิ่มเข้ามาเช่นกัน เพราะฉะนั้นหากไม่อยากเสียเวลาอบรมใหม่ แนะนำว่าต้องตรวจสอบให้ดีว่าใบขับขี่ของคุณหมดอายุวันที่เท่าไหร่จะได้ทำเรื่องต่ออายุล่วงหน้า
ใครที่อยากต่ออายุใบขับขี่ 2 ปี เป็น 5 ปี มาดูกันว่ามีเอกสารอะไรบ้างที่ต้องเตรียม แนะนำเตรียมให้พร้อมจะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำเรื่องใหม่ โดยเอกสารที่ต้องเตรียม ได้แก่
การต่ออายุใบขับขี่ 2 ปี เป็น 5 ปี สามารถทำได้ที่กรมการขนส่งทางบกทุกสาขา โดยมีขั้นตอนต่อใบขับขี่ดังนี้
หากขับขี่รถโดยไม่มีใบขับขี่แน่นอนว่าถือเป็นความผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ. รถยนต์ โดยจะมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท นอกจากนี้หากไม่แสดงใบขับขี่หรือไม่พกใบขับขี่ระหว่างขับรถจะมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาทอีกด้วย
เมื่อรู้แบบนี้มือใหม่ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ต่ออายุใบขับขี่ เชื่อว่าน่าจะหายข้องใจว่าต่ออายุใบขับขี่ 2 ปี เป็น 5 ปี ต้องเตรียมตัวอย่างไรและต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง แนะนำว่าให้เช็กวันหมดอายุและทำเรื่องต่อใบขับขี่ก่อนวันหมดอายุเสมอ เพราะหากปล่อยให้หมดอายุนานนอกจากต้องอบรมใหม่แล้วยังผิดกฎหมาย และนอกจากใบขับขี่จะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนขับรถยนต์แล้ว ประกันรถยนต์ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน ทำหน้าที่คุ้มครองยามเกิดเหตุฉุกเฉิน การมีประกันรถจึงอุ่นใจ โดยเฉพาะ ประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่คุ้มครองทุกกรณีไม่ว่าจะเดินทางใกล้หรือไกลก็หมดห่วง สามารถเช็กประกันที่เหมาะกับคุณพร้อมกับ เช็กค่าเบี้ยประกัน ได้ผ่านช่องทางออนไลน์
check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย
การทำประกันไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตหรือประกันวินาศภัย กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่หลายคนเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นในยุคนี้ บางคนมีประกันหลายฉบับ บางคนทำไว้หลายบริษัท พอทำประกันไว้หลายฉบับ หลายบริษัท หลายปีติด ๆ กัน แล้วเล่มหายหรือจำไม่ได้ว่าทำไว้กับใคร ปัญหาเริ่มมาแบบไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่ทุกวันนี้สามารถเช็คกรมธรรม์จากเลขบัตรประชาชนได้แล้ว ไม่ต้องไปขุดหาเอกสารเก่า ไม่ต้องโทรถามใครให้ยุ่ง
เวลาเกิดอุบัติเหตุแล้วบริษัทประกันของอีกฝ่ายโทรมาเรียกเก็บค่าซ่อม ใครไม่เคยเจอก็อาจจะคิดว่า “ก็แค่จ่ายไปสิ” แต่พอถึงเวลาจริง บางเคสค่าซ่อมอาจพุ่งไปถึงหลักแสนแบบไม่ทันตั้งตัว แถมบางคนไม่มีเงินก้อนพร้อมจ่ายทันที ก็เลยกลายเป็นคำถามยอดฮิตว่า ถ้าไม่มีเงินจ่าย ประกันเรียกค่าซ่อมแบบนี้ ผ่อนได้ไหม? แล้วจะคุยกับประกันยังไงให้ไม่โดนฟ้อง ต้องเตรียมตัวยังไงบ้างให้รอดจากสถานการณ์สุดเครียดนี้ทุกมุม มาหาคำตอบแบบไม่ต้องมโนกันในบทความนี้ดีกว่า การเลือกประกันรถยนต์ที่เข้าใจคนขับจริง ๆ เลยเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะ ประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ให้เลือกความคุ้มครองเองได้ตามงบอย่าง insurverse ที่ช่วยให้ไม่ต้องจ่ายเบี้ยเกินจำเป็น แถมยังซื้อตรงไม่ผ่านตัวแทน ถูกจริงตั้งแต่แรก ไม่มีเงินจ่ายค่าซ่อมในทันที ทำไงดี ถ้าบริษัทประกันเรียกเก็บค่าซ่อมจากคู่กรณีที่เป็นฝ่ายผิด แล้วคนคนนั้นไม่มีเงินจ่ายเต็มจำนวน ไม่ต้องรีบจ่ายทันทีแบบหน้ามืดตามัว เพราะสามารถขอเจรจากับบริษัทประกันได้ตรง ๆ ว่าจะขอผ่อนจ่ายเป็นงวดได้ไหม ซึ่งประกันหลายเจ้าก็พร้อมรับฟัง ถ้ามีเหตุผลและความจริงใจที่จะจ่ายจริง วิธีนี้เรียกว่า การประนอมหนี้ คล้าย ๆ กับการตกลงกันว่า จะผ่อนเท่าไหร่ กี่งวด แล้วต้องมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร หรือบันทึกไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกัน และป้องกันปัญหาในอนาคต แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท ประกันของตัวเองช่วยอะไรได้บ้าง ในบางเคส คนที่เป็นฝ่ายผิดก็ยังมีประกันรถยนต์ของตัวเองอยู่ แบบนี้สบายใจได้ในระดับนึง เพราะประกันของเราจะเข้ามาช่วยดูแลค่าซ่อมในส่วนที่ครอบคลุมไว้ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ แต่ต้องไม่ใช่เคสที่เข้าข่ายถูกตัดสิทธิ เช่น เมาแล้วขับ หรือใช้รถผิดประเภท… Continue reading ประกันเรียกเก็บค่าซ่อม ผ่อนได้ไหม? รู้ทันทุกขั้นตอนก่อนโดนฟ้อง คุยจบ เคลียร์ได้ ไม่ต้องหนี
กรมธรรม์ คือ เอกสารสัญญาสำคัญระหว่างผู้เอาประกันกับบริษัทประกันภัย โดยจะระบุความคุ้มครองที่จะได้รับเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และเงื่อนไขอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง