การตั้งศูนย์ถ่วงล้อถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนการดูแลรักษารถยนต์ที่สำคัญมากและไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากจะส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยและอายุการใช้งานของรถยนต์แล้ว ยังส่งผลต่อการประหยัดน้ำมันและสมรรถนะในการขับขี่ระยะยาวอีกด้วย จึงต้องทำกับทีมช่างเทคนิคผู้เชี่ยวชาญและศูนย์บริการที่น่าเชื่อถือ
มีผู้ใช้รถจำนวนไม่น้อยเมื่อนำรถไปเข้าอู่เพื่อเปลี่ยนยางหรือซ่อมบำรุงแล้วมักจะละเลยการตั้งศูนย์ถ่วงล้อ เพราะมองว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วถือเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยตลอดจนสมรรถนะการขับขี่ในระยะยาว ดังนั้นวันนี้เราจึงจะมาอธิบายถึงความสำคัญ รวมถึงสาระน่ารู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับของการตั้งศูนย์และถ่วงล้อให้ผู้ใช้รถทุกคนได้เข้าใจกัน
ผู้ใช้รถหลายคนมักเข้าใจผิดว่าการตั้งศูนย์และถ่วงล้อเป็นการปรับแต่งล้อหรือยางโดยตรง แต่จริง ๆ แล้วการตั้งศูนย์ถ่วงล้อ คือการปรับตั้งค่าระบบเชื่อมต่อล้อ ระบบกันสะเทือนของรถยนต์ รวมถึงปรับมุมของล้อหน้าและล้อหลังให้ทำงานสัมพันธ์กัน ให้การขับขี่มีความมั่นคง ป้องกันไม่ให้รถยนต์เสียสมดุลจนเกิดอาการเอียงซ้ายหรือขวาในขณะขับขี่ ช่วยลดการสั่นสะเทือน ให้การขับขี่มีความนุ่มนวลและเงียบมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยประหยัดน้ำมันและช่วยยืดอายุการใช้งานของล้อ ยาง รวมถึงระบบช่วงล่างของรถทั้งหมดได้อีกด้วย ที่สำคัญคือควรทำกับศูนย์บริการที่มีช่างเทคนิคผู้เชี่ยวชาญและมีใบอนุญาตถูกต้อง
ดังนั้นการตั้งศูนย์ถ่วงล้ออย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้การขับขี่มีความมั่นคง ป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากการควบคุมรถยาก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการขับขี่บนท้องถนน และเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประกันรถยนต์ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือในยามฉุกเฉินที่ไม่คาดคิด
แม้ว่าจะถูกเรียกรวมกันว่าตั้งศูนย์ถ่วงล้อ แต่ในทางปฏิบัตินั้นการตั้งศูนย์และการถ่วงล้อเป็น 2 ขั้นตอนที่แตกต่างกัน สามารถทำทั้ง 2 อย่างพร้อมกันหรือทำเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ขึ้นอยู่กับอาการผิดปกติของรถที่เกิดขึ้น
เป็นการปรับมุมล้อหน้าและล้อหลังให้อยู่ในองศาที่เหมาะสม ช่วยให้รถมีความสมดุล เวลาขับขี่ไม่เป๋ออกไปทางซ้ายหรือขวา ตอบสนองต่อการควบคุมของพวงมาลัยได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เพิ่มความปลอดภัยและสมรรถนะในการขับขี่
เป็นการตรวจสอบหาจุดสมดุลของยางแต่ละเส้นว่ามีความแกว่งหรือมีการสั่นสะเทือนขณะขับขี่มากน้อยแค่ไหน เพราะแม้จะเป็นยางรุ่นเดียวกัน แต่บางครั้งยางก็ไม่ได้มีน้ำหนักเท่ากันทุกเส้น ซึ่งส่งผลต่อการหมุน การแกว่ง และการสั่นสะเทือนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องมีการถ่วงล้อเพื่อปรับให้ล้อและยางเกิดความสมดุล ช่วยให้การขับขี่ราบรื่นและปลอดภัย
ความถี่ของการนำรถไปตั้งศูนย์ถ่วงล้อ ควรขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของผู้ขับขี่แต่ละคนว่าใช้รถบ่อยแค่ไหน และนำรถไปขับขี่บนถนนที่มีสภาพเป็นหลุมเป็นบ่อบ่อยแค่ไหน แต่โดยทั่วไปแล้วควรนำรถไปตรวจเช็กสภาพทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร หรืออย่างน้อย 2 ปี/ครั้ง หรือทำทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนยางเส้นใหม่ เพื่อปรับให้ล้อ ยาง และระบบช่วงล่างของรถกลับมาทำงานสัมพันธ์กันเป็นปกติดังเดิม รวมถึงเมื่อขับขี่แล้วพบว่ารถมีอาการผิดปกติเหล่านี้มากกว่า 1 ข้อ ควรนำรถไปตรวจเช็กสภาพโดยทันที
การตั้งศูนย์ถ่วงล้อรถยนต์มักจะใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง ส่วนจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้
ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการตั้งศูนย์และถ่วงล้อนั้น โดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 300 – 600 บาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการตั้งศูนย์ล้อ ประมาณ 200 – 500 บาท และค่าใช้จ่ายในการถ่วงล้อประมาณ 100 บาท ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้สามารถทำพร้อมกันหรือเลือกทำเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ตามอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น แต่ขอแนะนำให้ตั้งศูนย์ล้อเป็นประจำทุกปี ส่วนการถ่วงล้อให้ทำทุกครั้งที่เปลี่ยนยางเส้นใหม่
ทั้งหมดนี้คือความสำคัญรวมถึงสาระน่ารู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับการตั้งศูนย์ถ่วงล้อรถยนต์ หวังว่าจะช่วยให้ผู้ใช้รถมือใหม่ทั้งหลายตระหนักถึงความสำคัญของการนำรถไปตรวจเช็กสภาพและตั้งศูนย์ถ่วงล้อให้เหมาะสมตามวงรอบ เพื่อให้รถของคุณสามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุบนท้องถนน อีกทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานและเสริมสมรรถนะในการขับขี่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย
การทำประกันไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตหรือประกันวินาศภัย กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่หลายคนเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นในยุคนี้ บางคนมีประกันหลายฉบับ บางคนทำไว้หลายบริษัท พอทำประกันไว้หลายฉบับ หลายบริษัท หลายปีติด ๆ กัน แล้วเล่มหายหรือจำไม่ได้ว่าทำไว้กับใคร ปัญหาเริ่มมาแบบไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่ทุกวันนี้สามารถเช็คกรมธรรม์จากเลขบัตรประชาชนได้แล้ว ไม่ต้องไปขุดหาเอกสารเก่า ไม่ต้องโทรถามใครให้ยุ่ง
เวลาเกิดอุบัติเหตุแล้วบริษัทประกันของอีกฝ่ายโทรมาเรียกเก็บค่าซ่อม ใครไม่เคยเจอก็อาจจะคิดว่า “ก็แค่จ่ายไปสิ” แต่พอถึงเวลาจริง บางเคสค่าซ่อมอาจพุ่งไปถึงหลักแสนแบบไม่ทันตั้งตัว แถมบางคนไม่มีเงินก้อนพร้อมจ่ายทันที ก็เลยกลายเป็นคำถามยอดฮิตว่า ถ้าไม่มีเงินจ่าย ประกันเรียกค่าซ่อมแบบนี้ ผ่อนได้ไหม? แล้วจะคุยกับประกันยังไงให้ไม่โดนฟ้อง ต้องเตรียมตัวยังไงบ้างให้รอดจากสถานการณ์สุดเครียดนี้ทุกมุม มาหาคำตอบแบบไม่ต้องมโนกันในบทความนี้ดีกว่า การเลือกประกันรถยนต์ที่เข้าใจคนขับจริง ๆ เลยเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะ ประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ให้เลือกความคุ้มครองเองได้ตามงบอย่าง insurverse ที่ช่วยให้ไม่ต้องจ่ายเบี้ยเกินจำเป็น แถมยังซื้อตรงไม่ผ่านตัวแทน ถูกจริงตั้งแต่แรก ไม่มีเงินจ่ายค่าซ่อมในทันที ทำไงดี ถ้าบริษัทประกันเรียกเก็บค่าซ่อมจากคู่กรณีที่เป็นฝ่ายผิด แล้วคนคนนั้นไม่มีเงินจ่ายเต็มจำนวน ไม่ต้องรีบจ่ายทันทีแบบหน้ามืดตามัว เพราะสามารถขอเจรจากับบริษัทประกันได้ตรง ๆ ว่าจะขอผ่อนจ่ายเป็นงวดได้ไหม ซึ่งประกันหลายเจ้าก็พร้อมรับฟัง ถ้ามีเหตุผลและความจริงใจที่จะจ่ายจริง วิธีนี้เรียกว่า การประนอมหนี้ คล้าย ๆ กับการตกลงกันว่า จะผ่อนเท่าไหร่ กี่งวด แล้วต้องมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร หรือบันทึกไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกัน และป้องกันปัญหาในอนาคต แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท ประกันของตัวเองช่วยอะไรได้บ้าง ในบางเคส คนที่เป็นฝ่ายผิดก็ยังมีประกันรถยนต์ของตัวเองอยู่ แบบนี้สบายใจได้ในระดับนึง เพราะประกันของเราจะเข้ามาช่วยดูแลค่าซ่อมในส่วนที่ครอบคลุมไว้ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ แต่ต้องไม่ใช่เคสที่เข้าข่ายถูกตัดสิทธิ เช่น เมาแล้วขับ หรือใช้รถผิดประเภท… Continue reading ประกันเรียกเก็บค่าซ่อม ผ่อนได้ไหม? รู้ทันทุกขั้นตอนก่อนโดนฟ้อง คุยจบ เคลียร์ได้ ไม่ต้องหนี
กรมธรรม์ คือ เอกสารสัญญาสำคัญระหว่างผู้เอาประกันกับบริษัทประกันภัย โดยจะระบุความคุ้มครองที่จะได้รับเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และเงื่อนไขอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง