ไฟตัดหมอก หนึ่งในออปชันเสริมที่มักมีมาให้รถรุ่นใหม่ ๆ ในท้องตลาด ซึ่งผู้ใช้รถหลายคนอาจจะไม่เคยใช้ หรือบางคนอาจจะเลือกรถที่มีไฟตัดหมอกเพราะความสวยงามเท่านั้น เลยทำให้ไม่รู้ว่า ไฟตัดหมอกใช้ตอนไหน และถูกออกแบบมาเพื่อสถานการณ์แบบใด วันนี้ insurverse เราจะพาไปเจาะลึกถึงอุปกรณ์ชิ้นนี้ ให้ทุกคนได้เข้าใจกันเอง
ไฟตัดหมอก คือ ไฟส่องสว่างที่มีความเข้มข้นสูง และมักถูกติดตั้งบริเวณกันชนส่วนล่าง ที่อยู่ใต้ไฟส่องสว่างลงไปอีก เพื่อทำการส่องทะลุหมอก หรือช่วงที่ฝนตกได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีความจำเป็นอย่างมากในการขับขี่ตอนกลางคืน หรือช่วงที่มีหมอกลงหนาในเส้นทางขึ้นลงเขา
ไฟตัดหมอกจะถูกติดตั้งให้ส่องเป็นแนวระนาบไปกับพื้นถนน ซึ่งจะมีระยะส่องสว่างราว ๆ 30 – 80 เมตร ซึ่งจะช่วยให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ดีขึ้น ต่างจากไฟส่องสว่างปกติ ที่จะมีระยะการส่องสว่างเพียง 10 – 15 เมตรเท่านั้น เพราะหากส่องไกลกว่านั้น ก็จะไปรบกวนรถคันอื่นที่ใช้ถนนร่วมกัน จนอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุจนต้องเรียกประกันภัยรถยนต์เลยก็ได้
สัญลักษณ์ไฟตัดหมอกส่วนใหญ่ มักจะอยู่ที่ก้านไฟเลี้ยว หรือที่เดียวกันกับการเปิด-ปิดไฟหน้ารถ โดยจะมีสัญลักษณ์รูปดวงไฟคล้ายกับไฟหน้า แต่ด้านหน้าจะมีลักษณะคล้ายกับเสาอากาศก้างปลา และต้องหมุนเปิดใช้งาน หรือในรถบางรุ่นอาจอยู่ที่บริเวณคอนโซลกลาง
เมื่อมีการเปิดใช้งาน สัญลักษณ์ไฟตัดหมอกจะขึ้นแจ้งเตือนที่แผงหน้าปัด ไม่ต่างจากการใช้งานไฟหน้า โดยจะเป็นรูปดวงไฟสีเขียว พร้อมกับรูปเสาก้างปลาที่ด้านหน้าดวงไฟ ที่หมายถึงรถกำลังเปิดไฟตัดหมอกใช้งานอยู่
เมื่อรู้ถึงหลักการทำงาน และสัญลักษณ์ไฟตัดหมอกกันไปแล้ว ทีนี้เราจะมาอธิบายกันต่อว่า ไฟตัดหมอกต้องใช้ตอนไหนถึงจะปลอดภัย และไม่รบกวนเพื่อนร่วมถนนคันอื่น มาดูกันดีกว่า
บริเวณทางขึ้นลงเบา หรือพื้นที่ยอดดอยต่าง ๆ อย่างในแถบภาคเหนือ มักจะมีอากาศที่หนาวเย็น และหากมีฝนตกด้วยแล้ว ก็จะมีหมอกลงหน้าจนไม่สามารถมองทางได้อย่างชัดเจน ซึ่งไฟตัดหมอกถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้สถานการณ์แบบนี้โดยเฉพาะ จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้รถรุ่นใหม่ ๆ มักติดมาให้เป็นอุปกรณ์พื้นฐาน
อย่างที่เราได้บอกไปว่า ช่วงเวลากลางคืนที่ว่ามองเห็นถนนได้ยากแล้ว หากมีฝนตกลงมาร่วมด้วย ทัศนวิสัยในการขับขี่ก็จะยิ่งแย่ลงไปอีก การเปิดใช้งานไฟตัดหมอกในสถานการณ์แบบนี้ จึงช่วยทำให้ผู้ขับขี่มองเห็นทางได้ง่ายขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ ให้ลดน้อยลงไป
ผู้ใช้รถทุกคนย่อมรู้กันดีว่า ถนนหนทางในเมืองไทยนั้นมีความเป็นหลุมเป็นบ่ออยู่เยอะ โดยเฉพาะในช่วงที่ฝนตกลงมาจนน้ำขัง หากเราไม่มีไฟตัดหมอกช่วย ก็อาจจะมองไม่เห็นเลยด้วยซ้ำว่าข้างหน้ามีหลุม หรือแอ่งที่ต้องระวังในการขับขี่หรือไม่ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสถานการณ์ที่ไฟตัดหมอกช่วยได้เช่นกัน
ในช่วงหมอกลงจัด หรือมีควันมาบดบังในการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์เผาไร่ ที่คนเดินทางไปต่างจังหวัดมักจะคุ้นชินกันดี ก็เป็นอีกหนึ่งสถานการณ์ ที่ไฟตัดหมอกจะเข้ามาช่วยผู้ขับขี่ได้ เพราะอย่างน้อยก็ทำให้รถที่ขับสวนมามองเห็นรถเราได้ชัดเจนมากขึ้น
หากเป็นการใช้งานตลอดเวลา หรือเปิดพร่ำเพรื่อ จะเข้าข่ายผิดกฎหมาย พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 11 ที่ระบุไว้ว่า ควรใช้ไฟตัดหมอกในขณะที่มีหมอก หรือฝุ่นควันมาบดบังการขับขี่ โดยที่จะต้องไม่มีรถคันอื่นอยู่ด้านหน้า หรือขับสวนมาในระยะของไฟ
ผู้ใช้รถทุกคนเห็นกันแล้วใช่ไหมว่า ไฟตัดหมอกนั้นถูกออกแบบมาเพื่ออะไร และมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนในเมืองไทยเรา รวมไปถึงสถานการณ์ที่ควรใช้ไฟตัดหมอก และข้อกฎหมายที่จำเป็นต้องรู้ในการใช้งาน เพื่อให้ไม่โดนโทษปรับ และอีกหนึ่งความสำคัญที่คนใช้รถต้องมี ก็คือการทำประกันรถยนต์ชั้น 1 หรือประกันชั้น 2+ ที่มีความคุ้มครองค่อนข้างจะครอบคลุม และมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินมากมาย เมื่อเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนขึ้น ส่วนใครที่ยังไม่รู้จะทำประกันที่ไหน ต้องที่ insurverse เราเลย เพราะเราเป็นประกันออนไลน์เจ้าแรกในไทย ที่เปิดให้มีการปรับแต่งกรมธรรม์ได้อย่างอิสระ
check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย
การทำประกันไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตหรือประกันวินาศภัย กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่หลายคนเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นในยุคนี้ บางคนมีประกันหลายฉบับ บางคนทำไว้หลายบริษัท พอทำประกันไว้หลายฉบับ หลายบริษัท หลายปีติด ๆ กัน แล้วเล่มหายหรือจำไม่ได้ว่าทำไว้กับใคร ปัญหาเริ่มมาแบบไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่ทุกวันนี้สามารถเช็คกรมธรรม์จากเลขบัตรประชาชนได้แล้ว ไม่ต้องไปขุดหาเอกสารเก่า ไม่ต้องโทรถามใครให้ยุ่ง
เวลาเกิดอุบัติเหตุแล้วบริษัทประกันของอีกฝ่ายโทรมาเรียกเก็บค่าซ่อม ใครไม่เคยเจอก็อาจจะคิดว่า “ก็แค่จ่ายไปสิ” แต่พอถึงเวลาจริง บางเคสค่าซ่อมอาจพุ่งไปถึงหลักแสนแบบไม่ทันตั้งตัว แถมบางคนไม่มีเงินก้อนพร้อมจ่ายทันที ก็เลยกลายเป็นคำถามยอดฮิตว่า ถ้าไม่มีเงินจ่าย ประกันเรียกค่าซ่อมแบบนี้ ผ่อนได้ไหม? แล้วจะคุยกับประกันยังไงให้ไม่โดนฟ้อง ต้องเตรียมตัวยังไงบ้างให้รอดจากสถานการณ์สุดเครียดนี้ทุกมุม มาหาคำตอบแบบไม่ต้องมโนกันในบทความนี้ดีกว่า การเลือกประกันรถยนต์ที่เข้าใจคนขับจริง ๆ เลยเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะ ประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ให้เลือกความคุ้มครองเองได้ตามงบอย่าง insurverse ที่ช่วยให้ไม่ต้องจ่ายเบี้ยเกินจำเป็น แถมยังซื้อตรงไม่ผ่านตัวแทน ถูกจริงตั้งแต่แรก ไม่มีเงินจ่ายค่าซ่อมในทันที ทำไงดี ถ้าบริษัทประกันเรียกเก็บค่าซ่อมจากคู่กรณีที่เป็นฝ่ายผิด แล้วคนคนนั้นไม่มีเงินจ่ายเต็มจำนวน ไม่ต้องรีบจ่ายทันทีแบบหน้ามืดตามัว เพราะสามารถขอเจรจากับบริษัทประกันได้ตรง ๆ ว่าจะขอผ่อนจ่ายเป็นงวดได้ไหม ซึ่งประกันหลายเจ้าก็พร้อมรับฟัง ถ้ามีเหตุผลและความจริงใจที่จะจ่ายจริง วิธีนี้เรียกว่า การประนอมหนี้ คล้าย ๆ กับการตกลงกันว่า จะผ่อนเท่าไหร่ กี่งวด แล้วต้องมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร หรือบันทึกไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกัน และป้องกันปัญหาในอนาคต แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท ประกันของตัวเองช่วยอะไรได้บ้าง ในบางเคส คนที่เป็นฝ่ายผิดก็ยังมีประกันรถยนต์ของตัวเองอยู่ แบบนี้สบายใจได้ในระดับนึง เพราะประกันของเราจะเข้ามาช่วยดูแลค่าซ่อมในส่วนที่ครอบคลุมไว้ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ แต่ต้องไม่ใช่เคสที่เข้าข่ายถูกตัดสิทธิ เช่น เมาแล้วขับ หรือใช้รถผิดประเภท… Continue reading ประกันเรียกเก็บค่าซ่อม ผ่อนได้ไหม? รู้ทันทุกขั้นตอนก่อนโดนฟ้อง คุยจบ เคลียร์ได้ ไม่ต้องหนี
กรมธรรม์ คือ เอกสารสัญญาสำคัญระหว่างผู้เอาประกันกับบริษัทประกันภัย โดยจะระบุความคุ้มครองที่จะได้รับเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และเงื่อนไขอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง