vertical_align_top
keyboard_arrow_leftย้อนกลับ
7 สาเหตุที่รถสตาร์ทไม่ติด!? 2567 พร้อมวิธีจัดการปัญหา

8 สาเหตุที่รถสตาร์ทไม่ติด พร้อมวิธีจัดการปัญหา

schedule
share

รถสตาร์ทไม่ติดเป็นปัญหาที่คนใช้รถปวดเศียรเวียนเกล้ามากที่สุด ซึ่งมีสาเหตุมากมายที่ทำให้รถสตาร์ทติดยากไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์, น้ำมันหรือความบกพร่องชำรุดของรถยนต์ รู้หรือไม่นอกเหนือจากที่จะต้องตรวจเช็คสภาพรถยนต์เป็นประจำสม่ำเสมอแล้ว การซื้อประกันรถยนต์ออนไลน์เอาไว้เป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะหากเกิดรถสตาร์ทติดยากหรือสตาร์ทไม่ติดเมื่อไหร่ก็จะมีผู้ช่วยอยู่เคียงใกล้คอยแก้ไขปัญหาได้อย่างแน่นอน บอกเลยว่ามีสาเหตุหลายประการที่ทำให้รถมีปัญหา หากรู้จักวิธีการจัดการปัญหาต่างๆ เบื้องต้นด้วยตัวเองจะเป็นเรื่องที่ดีอย่างแท้จริง

      รถสตาร์ทไม่ติด ไฟหน้าปัดขึ้น เกิดจากอะไร? รถยนต์สตาร์ทไม่ติด มีเสียงแก๊กๆ เป็นสัญญาณบอกอะไร? วันนี้ insurverse มีคำตอบมาให้ค่ะ

a-car-engine-problem

รถสตาร์ทไม่ติดมีสาเหตุต่างๆ มากมาย เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยและจะปวดหัวมากหากเกิดเหตุในสถานที่ข้างนอกไม่ว่าจะเป็นบนท้องถนน, ในห้างสรรพสินค้าหรือในที่ทำงาน ซึ่งหากได้มีการเช็คเบี้ยประกันรถยนต์เพื่อเลือกประกันที่ช่วยดูแลคุ้มครองได้อย่างครอบคลุมแม้แต่ในเรื่องของปัญหาของรถยนต์ก็จะเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นมาจะมีคนดูแลคอยจัดการแก้ปัญหาให้ได้อุ่นใจในทุกการขับขี่อย่างแน่นอน โดย 7 สาเหตุที่รถยนต์สตาร์ทไม่ติด, ปัญหาของระบบสตาร์ทมีอะไรบ้างพร้อมวิธีจัดการปัญหา มีดังนี้

1. แบตเตอรี่เสื่อม

ถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติดมีเสียงแก๊กๆ บางครั้งอาจจะลืมตรวจเช็คหรือเปลี่ยนใหม่ ซึ่งจะทำให้ไม่มีกำลังไฟพอในการจ่ายพลังงานให้เครื่องยนต์ แบตเตอรี่อาจจะรั่วซึมหรือพังเสียหายจึงไม่สามารถที่จะสตาร์ทรถได้ โดยสามารถที่จะสังเกตได้จากหน้าปัดรถยนต์ซึ่งไฟแสดงสถานะจะไม่ขึ้น วิธีจัดการปัญหาเบื้องต้นคือนำแบตเตอรี่สำรองมาพ่วงเติมพลังงานหรือพ่วงกับรถคันอื่นเพื่อให้สตาร์ทติดก่อน แล้วรีบนำรถเข้าอู่เพื่อเปลี่ยนแบตทันที

   รถยนต์สตาร์ทไม่ติดอาจเป็นสัญญาณเตือนแบตรถกำลังหมด ถ้าหากคุณไม่อยากเจอเหตุการณ์แบตหมดระหว่างทาง มาเช็คกันว่าสัญญาณเตือนแบตรถกำลังหมดเบื้องต้น จะมีอาการอะไรบ้าง? ดังนี้ค่ะ

  1. รถยนต์สตาร์ทไม่ติดในครั้งเดียว ต้องสตาร์ทหลายๆ ครั้งหรือหากรถไม่ได้ติดเครื่องเป็นเวลานานมากกว่า 5 ชั่วโมง แล้วมาสตาร์ทแล้วพบว่ารถสตาร์ทติดยากมากกว่าเดิม อาจะเพราะระบบเครื่องยนต์ไม่มีแรงในการสตาร์ทค่ะ อาจเกี่ยวกับแบตเตอร์รี่ใกล้หมด นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับหัวเทียน, ไส้กรองตันหรือลิ้นปีกผีเสื้อเปิดรับอากาศเข้ารถได้ไม่ดีก็ได้ค่ะ
  2. รถยนต์สตาร์ทไม่ติดและระบบไฟไม่เหมือนเดิม ไฟเริ่มอ่อนลงไม่สว่าง, ไฟสลัวหรือไฟติดๆ ดับๆ ไม่ว่าจะไฟในห้องโดยสาร, ไฟหน้ารถหรือไฟท้าย หากเกิดอาการแบบนี้เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะแบตเตอรี่อ่อนค่ะ จนทำให้ประจุไฟกระจายได้ไม่เพียงพอทำให้รถยนต์สตาร์ทไม่ติด ไฟหน้าปัดไม่ขึ้นนั่นเองค่ะ
  3. แตร์รถยนต์ไม่มีเสียงก็เป็นอีก 1 สัญญาณเตือนรถสตาร์ทไม่ติดแบตหมดที่เช็คได้ง่ายที่สุด ถ้าหากแตร์รถยนต์ของคุณบีบแล้วไม่มีเสียงหรือเสียงเริ่มเบาลง ก็เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าแบตเตอรี่อาจไม่เพียงพอต้องรีบเปลี่ยนแบตเป็นอันดับแรกเลยค่ะ 
  4. รถยนต์สตาร์ทไม่ติดและแอร์ในห้องโดยสารมีแต่ลมออก อาจเพราะไฟไม่เข้าคอมแอร์ จึงทำให้ไม่มีความเย็นออกมา นอกจากนี้บางคันอาจมีเสียงแปลกๆ ร่วมด้วย อาจเพราะแบตใกล้หมดได้ค่ะ
  5. ฟังก์ชันเสริมในรถยนต์ทำงานผิดปกติ ไม่ว่าจะปุ่มเปิด-ปิดหน้าต่าง, ที่ล็อคประตูอัตโนมัติ, วิทยุรวมถึงการเชื่อมต่อบลูทูธ เป็นต้น อาจทำงานได้ช้าลงไม่เสถียรหรือไม่สามารถทำงานได้เลย อาจเป็นเพราะแบตรถเริ่มมีอาการเสื่อมสภาพค่ะ

วิธีแก้ไข : รถสตาร์ทไม่ติดแบตหมด มีวิธีแก้ไขดังนี้ค่ะ

  1. หมั่นเช็คอายุการใช้งานแบตเตอรี่ตามคู่มืออย่างสม่ำเสมอ ไม่ปล่อยให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ
  2. ให้ความสำคัญเรื่องน้ำกลั่นแบตเตอรี่และขั้วแบตเตอรี่
  3. เช็คระบบไฟเบื้องต้นในที่มืด
  4. ปิดไฟบนรถทุกครั้งก่อนลงรถ

      แต่ในกรณีที่รถยนต์สตาร์ทไม่ติดแบตไม่หมด, รถยนต์สตาร์ทไม่ติด มีเสียงแก๊กๆ สาเหตุอาจมาจากไดสตาร์ทหรือมอเตอร์สตาร์ทมีปัญหาก็ได้นะคะ จุดสังเกตอยู่ที่หน้าปัดรถยนต์ ถ้าหากสัญลักษณ์แบตเตอรี่ยังขึ้นโชว์เป็นปกติ แต่รถยนต์สตาร์ทไม่ติดและมีเสียงร่วมด้วย ควรนำรถเข้าไปตรวจเช็คที่ศูนย์หรืออู่ทันที เพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้นาน รถอาจจะเกิดความเสียหายเพิ่มลามไประบบอื่นๆ ได้ค่ะ

2. มอเตอร์สตาร์ทเสื่อม

สาเหตุที่รถสตาร์ทไม่ติดอาจจะเกิดจากปัญหาของมอเตอร์สตาร์ท ซึ่งอาจจะเป็นฟิวส์ขาดหรือสายไฟชำรุดจึงทำให้สตาร์ทไม่ติด วิธีการจัดการปัญหาจะต้องรีบนำรถเข้าศูนย์ที่ใกล้ที่สุดทันทีเพื่อตรวจสอบสภาพของเครื่องยนต์

วิธีแก้ไข : รถยนต์สตาร์ทไม่ติดเพราะมอเตอร์สตาร์ทเสื่อม มีวิธีแก้ไขเบื้องต้น คือ ให้คุณลองดับเครื่องและสตาร์ทอย่างรวดเร็ว เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของมอเตอร์สตาร์ท ถ้าหากว่ายังสตาร์ทติดอยู่ ให้เอารถไปตรวจเช็คอาการเสื่อมของมอเตอร์รวมถึงจุดที่อาจเสียหาย เช่น สายไฟ, รีเลย์และแปรงถ่าน เป็นต้นค่ะ  

3. ไดชาร์จเสื่อม

หากได้ทำการเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่เรียบร้อยแล้วรถสตาร์ทไม่ติดไม่มีเสียงอะไรเลย แสดงว่าไดชาร์จของเครื่องยนต์อาจจะเสื่อมจนทำให้รถสตาร์ทไม่ติด เพราะหากไดชาร์จพังหรือเสื่อมจะทำให้ประสิทธิภาพการจ่ายไฟของแบตเตอรี่ลดลง วิธีแก้ไขปัญหาต้องรีบนำรถส่งศูนย์ทำการซ่อมแซมทันที

วิธีแก้ไข : รถยนต์สตาร์ทไม่ติดเพราะไดชาร์จเสื่อม เริ่มจากการสังเกตอาการไดชาร์จเสียเบื้องต้น เช่น มีไฟแบตเตอรี่ขึ้นเตือน, ฟังก์ชันต่างๆ ทำงานไม่เต็มที่, รถสตาร์ทติดยาก, มีกลิ่นไหม้และระบบเซนเซอร์ไม่ทำงาน ถ้าหากมีอาการเหล่านี้ควรนำรถไปเช็คที่ศูนย์ซ่อมหรืออู่ทันทีค่ะ

4. ปั๊มติ๊กเสียหาย

ปั๊มติ๊กหรืออุปกรณ์ในการดึงน้ำมันจากตัวถังน้ำมันรถยนต์ไปกระตุ้นให้เกิดการสตาร์ทรถ หากอุปกรณ์นี้พังหรือเสียหายจึงทำให้รถสตาร์ทไม่ติด วิธีการป้องกันแก้ไขปัญหาคือหลีกเลี่ยงการขับรถในขณะที่น้ำมันเหลือน้อย เพราะอุปกรณ์ตัวนี้จะดึงอากาศเข้ามาในตัวรถยนต์แทนน้ำมันซึ่งอาจจะส่งผลเสียทำให้เครื่องยนต์พังได้ง่าย

วิธีแก้ไข : การแก้ไขปั๊มติ๊กเสียหาย ควรเริ่มจากการสังเกตอาการ หากมีอาการรถยนต์สตาร์ทไม่ติด, รถสั่นกระตุก, มีความร้อนสูงเกินเกณฑ์ปกติ, เครื่องยนต์วูบหรือรถเร่งไม่ไป ควรนำรถส่งซ่อมทันที เพราะจะเกี่ยวเนื่องกับระบบน้ำมันเชื้อเพลิงได้เช่นกันค่ะ เช่น เวลาเติมน้ำมันแล้วน้ำมันไม่เข้าไปในระบบเครื่องยนต์ จะทำให้เกิดความเสียหายอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย ดังนั้นตัดไฟแต่ต้นลมรีบแก้ไขตอนที่พึ่งมีสัญญาณหรืออาการผิดปกติของรถดีกว่าค่ะ

5. ระบบไฟฟ้าเกิดปัญหา

หากจอดรถทิ้งไว้นานโดยไม่ใช้งาน อาจจะทำให้มีสัตว์พวกแมลงหรือหนูเข้าไปทำลายหรือกัดสายไฟ ทำให้ระบบไฟฟ้าอาจเกิดปัญหารถสตาร์ทไม่ติดไม่มีไฟ วิธีแก้ไขปัญหาก็คือควรจะต้องตรวจสอบรถเป็นประจำโดยเฉพาะระบบไฟฟ้าและไม่ควรที่จะจอดรถไว้ในที่มีหนูหรือแมลงสาบ

วิธีแก้ไข : หากรถยนต์สตาร์ทไม่ติด ไฟหน้าปัดไม่ขึ้นเพราะระบบไฟฟ้าเกิดปัญหา ควรนำรถไปเช็คเพื่อหาสาเหตุและต้นตอที่แท้จริง จะได้หลีกเลี่ยงและป้องกันไม่ให้ปัญหารถยนต์สตาร์ทไม่ติดเกิดขึ้นซ้ำๆ จะดีที่สุดค่ะ  

6. ขั้วแบตเตอรี่สกปรก

หากขั้วแบตเตอรี่มีคราบเกลือสีเขียวอมฟ้าติดอยู่จะทำให้รถสตาร์ทไม่ติดหรือติดยาก วิธีแก้ไขปัญหาคือควรจะต้องทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่อยู่เสมอ ทำการเช็คสายไฟและขันให้แน่นอยู่ตลอด อย่าละเลยจนขี้เกลือขึ้นขั้วแบตเตอรี่ เพราะจะส่งผลไปถึงการจ่ายกระแสไฟรวมถึงอาจจะทำให้ระบบไฟและสายไฟรอบคันมีปัญหาได้ค่ะ 

วิธีแก้ไข : แบตเตอรี่เป็นส่วนสำคัญและเป็นปัจจัยอันดับต้นๆ ของสาเหตุรถยนต์สตาร์ทไม่ติด เบื้องต้นคุณสามารถทำความสะอาดได้ด้วยตัวเอง ตามขั้นตอนดังนี้ค่ะ 

  1. ดับเครื่องยนต์ให้เรียบร้อย
  2. เทน้ำร้อนลงไปบริเวณขั้วแบตเตอรี่อย่างใจเย็น ตรงบริเวณที่มีขี้เกลือเกาะอยู่ 
  3. ใช้แปรงหัวเล็กหรือแปรงสีฟันเก่าขนนุ่ม ขัดเบาๆ บริเวณขี้เกลือ
  4. แล้วเช็ดทำความสะอาดด้วยผ้าหมาดๆ ตามด้วยผ้าแห้งปิดท้ายอีกครั้ง โดยเช็ดให้แห้งสนิทเท่านี้ก็เสร็จแล้วค่ะ 

      แต่ถ้าหากไม่มั่นใจว่าจะทำเองได้ไหม? ก็ให้ที่ศูนย์หรืออู่บริการทำความสะอาดขี้เกลือขึ้นขั้วแบตเตอรี่แทนได้ค่ะ

7. ฟิวส์สตาร์ทเสียหาย

เกิดจากหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นสตาร์ทรถผิดวิธีหรือใช้งานมานานแล้วก็อาจจะเกิดการชำรุดเสียหายได้ วิธีแก้ไขปัญหาก็คือต้องเปลี่ยนใหม่เท่านั้น ส่วนวิธีการป้องกันก็คือต้องสตาร์ทรถอย่างถูกวิธี โดยการค่อยๆ บิดกุญแจไม่ต้องรีบร้อนเพราะอาจจะทำให้ฟิวส์สตาร์ทพังได้ง่าย

วิธีแก้ไข : ฟิวส์สตาร์ทเสียหายรถยนต์สตาร์ทไม่ติด ต้องเปลี่ยนใหม่ซ่อมไม่ได้ แต่แก้ไขได้ด้วยการระมัดระวังและถนอมฟิวสสตาร์ท ด้วยวิธีการดังนี้ค่ะ

  1. บิดกุญแจอย่างเบามือ 
  2. ไม่บิดกุญแจทีเดียว แต่ให้ค่อยๆ บิดกุญแจตามสเต็ป

8. ไดสตาร์ทเสีย

      หากไดสตาร์ทเสียจะทำให้รถยนต์สตาร์ทไม่ติด เพราะไดสตาร์ทเป็นระบบสำหรับสตาร์ทเครื่องยนต์โดยเฉพาะ อยู่ที่บริเวณชุดมอเตอร์สตาร์ท เจ้าของรถควรดูแลใส่ใจส่วนนี้เป็นพิเศษ เพราะถ้ารถยนต์สตาร์ทไม่ติดแบตไม่หมดลองสตาร์ทรถดูแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือรถสตาร์ทไม่ติด ไม่มีเสียงอะไรเลยเครื่องยนต์ไม่ทำงาน บางทีก็อาจสตาร์ทได้แต่มีเสียงที่ดังผิดปกติเป็นระยะๆ ลักษณะแบบนี้ถือเป็นสัญญาณว่าไดสตาร์ทเริ่มเสียค่ะ ควรได้รับการซ่อมบำรุงโดยด่วนค่ะ

วิธีแก้ไข : รถยนต์สตาร์ทไม่ติดจากสาเหตุไดสตาร์ทเสีย วิธีแก้ไขควรไปนำรถไปตรวจเช็ค บางทีต้นเหตุอาจมาจากอะไหล่ชิ้นส่วนเล็กๆ ในไดสตาร์ทก็ได้ค่ะ ที่ทำให้สตาร์ทไม่ติด รีบนำรถเข้าอู่ด่วนค่ะ หากซ่อมแล้วควรดูแลรถยนต์ให้ดีกว่าเดิม ด้วยวิธีดังนี้ค่ะ 

  1. เวลาต้องการสตาร์ทรถ ห้ามบิดแช่กุญแจไว้นานๆ 
  2. บิดกุญแจสตาร์ทอย่างเบามือ 
  3. ทำความสะอาดและกำจัดฝุ่นรถเป็นประจำ เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นเขาไปภายในไดสตาร์ท 
  4. ตอนไปล้างอัดฉีดรถควรระมัดระวัง ห้ามให้น้ำเข้าไดสตาร์ทเด็ดขาด อาจจะทำให้ระบบเสียหายได้ค่ะ หากไดสตาร์ทโดนน้ำนิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไรค่ะ ให้ระวังเรื่องการฉีดน้ำแรงดันสูงบริเวณเครื่องยนต์และไดสตาร์ทค่ะ
asian-woman-calling-repairman-or-insurance

สรุป

ถ้าเกิดปัญหารถสตาร์ทไม่ติดจนไม่สามารถเดินทางได้ ยิ่งหากเกิดเหตุอยู่ข้างนอกในระหว่างทางที่ไม่อยู่ในชุมชนหรือไม่มีอู่รถอยู่ใกล้เคียง จึงจำเป็นที่จะต้องโทรเรียกใช้บริการอู่ให้มายกหรือลากไปซ่อม บอกเลยว่าเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวเป็นอย่างยิ่ง จะดีไม่น้อยหากได้ซื้อประกันรถยนต์ออนไลน์เอาไว้จะได้รับการดูแลช่วยเหลือตลอดเวลา 24 ชั่วโมง รถยนต์สตาร์ทไม่ติดที่ไหนเมื่อไหร่ก็อุ่นใจว่าจะมีผู้ช่วยแก้ไขปัญหาให้ ดังนั้นรีบเข้ามาเช็คเบี้ยประกันรถยนต์ที่ให้บริการคุ้มครองเหนือระดับกับ insurverse ได้เลยทันที รับรองว่าชีวีจะจบสวยในทุกเหตุการณ์

check_circleคัดลอกลิงก์เรียบร้อย

© Copyright 2023 บริษัท อินชัวร์เวิร์ส จำกัด (มหาชน)